แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลมีคำสั่งเรียกเอกสารของโจทก์ซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 และเอกสารเหล่านั้นเป็นที่มาของรายการรายได้ที่เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 อ้างว่ามีจำนวนสูงกว่ารายได้ที่โจทก์แสดงไว้ในแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษี แต่จำเลยมิได้ส่งเอกสารดังกล่าวต่อศาลเพื่อให้ศาลพิจารณาถึงความถูกต้องโอย อ้างว่าหาไม่พบโดยไม่มีเหตุผล ทั้ง ๆ ที่เอกสารเหล่านั้นไม่ใช่จำนวนเล็กน้อย ผู้ทำรายการรายได้ที่อ้างว่ารวบรวมจากเอกสารดังกล่าวก็ไม่ได้มาเบิกความรับรองว่าถูกต้องตรงกับต้นเรื่อง จึงไม่อาจรับฟังได้ว่ารายการรายได้ดังกล่าวเป็นความจริงและถูกต้อง และโจทก์ยื่นรายการเสียภาษีต่ำกว่ารายได้ เจ้าพนักงานประเมินจึงไม่มีอำนาจที่จะประเมินให้โจทก์เสียภาษีเพิ่มขึ้นตามที่แจ้งการประเมิน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานของจำเลยตรวจสอบภาษีของโจทก์ในรอบระยะเวลาบัญชีปี ๒๕๑๕-๒๕๑๘ และได้รับมอบบัญชีและเอกสารของโจทก์ไปแล้ว ต่อมาโจทก์ได้รับแจ้งการประเมินจากเจ้าพนักงานของจำเลยเรียกเก็บภาษีการค้าสำหรับเดือนสิงหาคม – ธันวาคม ๒๕๑๘ และเดือนมกราคม – ธันวาคม ๒๕๑๗ เป็นเงิน ๑๐,๑๔๕.๙๗ บาท และ ๓๒,๔๕๒.๐๓ บาทตามลำดับ และเรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชีปี๒๕๑๕ และ ๒๕๑๘ เป็นเงิน ๘๓,๖๒๙.๓๘ บาท และ ๑๓๘,๕๘๗.๒๘ ตามลำดับโจทก์ไม่เข้าใจว่าเจ้าพนักงานของจำเลยนำยอดเงินรายการใดจากสมุดบัญชีหรือเอกสารรายใดมาคำนวณภาษีให้โจทก์ชำระเพิ่มเติมเจ้าพนักงานของจำเลยไม่สามารถชี้แจงให้โจทก์ทราบได้ โจทก์ขอดูสมุดบัญชีและเอกสารที่ส่งมอบให้แก่เจ้าพนักงานของจำเลยก็ได้รับแจ้งว่าหาไม่พบ การประเมินดังกล่าวจึงไม่ถูกต้องและคลุมเครือโจทก์อุทธรณ์การประเมินแล้ว ต่อมาได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์ชำระภาษีการค้าและภาษีเงินได้นิติบุคคลถูกต้องแล้ว ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าว
จำเลยให้การว่า เจ้าพนักงานของจำเลยได้ตรวจสอบการชำระภาษีอากรประจำปี ๒๕๑๕-๒๕๒๐ ของโจทก์แล้ว มีเหตุผลเชื่อว่าโจทก์เสียภาษีไว้ไม่ถูกต้อง โดยแสดงรายรับจากการจ้างทำของขาดไป และเงินได้สุทธิตามแบบ ภ.ค.๔ ที่โจทก์ยื่นแสดงไว้มีมากกว่าเงินได้ตามแบบ ภ.ง.ด.๕ของโจทก์ จึงประเมินภาษีการค้าและภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมรวมทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามฟ้อง การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เหตุที่เจ้าพนักงานประเมินแจ้งการประเมินภาษีการค้าและภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์นั้น เป็นกรณีสืบเนื่องมาจากเจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๑ ได้เรียกตรวจสอบบัญชีและเอกสารต่าง ๆของโจทก์ เอกสารต่าง ๆ ที่โจทก์ส่งให้เจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๑ นั้นปรากฏตามรายการในใบรับบัญชีและเอกสาร เอกสารหมาย ล.๑ ลำดับที่ ๘๗และ ๑๐๐ เมื่อเจ้าพนักงานได้ตรวจสอบเอกสารที่โจทก์ส่งให้แล้วได้รวบรวมตัวเลขต่าง ๆ จากเอกสารของบัญชีที่โจทก์ส่งมอบให้แล้วทำรายละเอียดไว้ตามเอกสารหมาย ล.๑ ลำดับที่ ๖๔ ถึง ๗๙ ข้อที่จะต้องวินิจฉัยในเบื้องต้นก็คือ รายรับของโจทก์ที่ปรากฏในเอกสารที่โจทก์ส่งมอบให้เจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๑ นั้น สูงกว่ารายรับที่โจทก์ยื่นเสียภาษีไว้หรือไม่อย่างไร ในปัญหานี้ในชั้นที่เจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๑ เรียกให้โจทก์ไปชี้แจงนั้นได้ความจากคำเบิกความของนางเพชรรัตน์ ปิยะรัตนพิพัฒน์ และนางนิลุบล อังศโวทัย พยานโจทก์ว่าเอกสารต่าง ๆ ที่โจทก์ส่งให้จำเลยนั้น เจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๑นำมาให้ตรวจสอบไม่ได้ คงให้แต่นางนิลุบล รับทราบตัวเลขที่เจ้าพนักงานทำขึ้นเท่านั้น และในชั้นพิจารณาของศาลเมื่อโจทก์ขอคำสั่งเรียกเอกสารตามรายการที่ระบุไว้ในเอกสารหมาย ล.๑ ลำดับที่ ๘๗ ไปยังจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ก็ส่งให้ไม่ได้โดยอ้างว่ายังหาไม่พบตามหนังสือของกรมสรรพากรลงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๑ (สำนวนอันดับที่ ๒๕) และในที่สุดก็ไม่มีเอกสารดังกล่าวเข้าสู่สำนวน เอกสารต่าง ๆดังที่กล่าวนั้นอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๑ และมิใช่เอกสารจำนวนเล็กน้อยเพราะประกอบด้วยใบขนถ่ายสินค้าถึง ๓ แฟ้ม และเอกสารเหล่านี้เป็นที่มาของรายได้ที่เจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๑ อ้างว่ามีจำนวนสูงกว่าที่โจทก์แสดงไว้ในแบบยื่นแสดงรายการเพื่อเสียภาษีการที่ข้อเท็จจริงจะปรากฏให้เห็นความเป็นจริงว่าจะเป็นดังที่โจทก์อ้างหรือเจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๑ อ้างนั้น จะต้องฟังจากเอกสารเหล่านั้นอันอยู่ในความครองครองของจำเลยที่ ๑ แต่จำเลยที่ ๑ก็มิได้ส่งเอกสารเหล่านั้นมาเพื่อเป็นพยานให้ศาลพิจารณาถึงความถูกต้องแท้จริงว่าการจะเป็นไปในทางใด ที่อ้างว่าหาไม่พบนั้นก็ไม่มีเหตุผลมาแสดงว่าเป็นเพราะเหตุใด รายการรายใดของโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.๑ ลำดับที่ ๖๔ ถึง ๗๙ ที่นางจิราพร สุริยาศศินเจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๑ อ้างว่าทำขึ้นโดยได้รวมรวบตัวเลขต่าง ๆจากเอกสารทางบัญชีที่โจทก์ส่งให้จำเลยที่ ๑ รวมทั้งใบขนถ่ายสินค้าที่โจทก์ส่งมอบให้ และนำมาแสดงว่าโจทก์มีรายได้มากกว่าที่ยื่นเสียภาษีไว้นั้น อาจจะเกิดการผิดพลาดในเรื่องตัวเลขหรือในเรื่องรายการ นอกจากนั้นตามคำเบิกความของนางจิราพรก็ได้ความว่าเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานเป็นผู้รวบรวม เจ้าหน้าที่ผู้รวบรวมนั้นมีความรู้ในทางบัญชีหรือไม่เพียงใดหรือมีผู้ที่มีความรู้ในทางบัญชีได้ทำการตรวจสอบหรือไม่ ก็ไม่ปรากฏจากการนำสืบของจำเลยเอกสารหมาย ล.๑ ลำดับที่ ๖๔ ถึง ๗๙ นั้น คงมีแต่ตัวเลขของรายการทั้งผู้ที่ทำเอกสารดังกล่าวก็ไม่มีมาเบิกความรับรองความถูกต้องแท้จริงว่าถูกต้องตรงกับเอกสารต้นเรื่อง การกระทำเช่นนี้ถ้าฟังเอาว่าเป็นความจริงและถูกต้องแล้วก็จะทำให้มีการเอาเปรียบโดยการปกปิดข้อมูลในเอกสารต้นเรื่อง เป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างขึ้นมาโดยอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีโอกาสโต้แย้งเป็นอย่างอื่นเมื่อพิจารณาถึงว่าตัวเลขรายได้ในงบดุลของโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.๑อันดับที่ ๙๒, ๙๗, ๑๓๐, ๑๓๙ และ ๑๔๙ มิได้มีตัวเลขสูงกว่าที่โจทก์แสดงไว้ในแบบรายการเพื่อเสียภาษีข้อเท็จจริงน่าเชื่อตามคำเบิกความของนางเพชรรัตน์พนักงานบัญชีของโจทก์ว่า การชำระภาษีการค้าและภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์ถูกต้อง ที่เจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๑อ้างว่า โจทก์มีรายได้สูงกว่าจำนวนที่แสดงไว้ในแบบแสดงรายการเสียภาษีนั้นไม่อาจรับฟังได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์มิได้ยื่นรายการเสียภาษีต่ำกว่ารายได้ เจ้าพนักงานประเมินจึงไม่มีอำนาจที่จะประเมินให้โจทก์เสียภาษีเพิ่มขึ้นตามที่แจ้งการประเมินไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นอีก ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการประเมินภาษีการค้าและภาษีเงินได้นิติบุคคลตามแบบแจ้งการประเมินภาษีการค้าเลขที่ ต.๘๑๐๓๗/๓/๐๔๔๘๔ และ ต.๘ ๑๐๓๗/๓/๐๔๔๘๕ แบบคำสั่งให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่มเลขที่ ต.๘/๑๐๓๗/๒/๐๓๓๕๙ และต.๘๖ ๑๐๓๗/๒/๐๓๓๖๑ และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เลขที่ ๑๑๘/๒๕๓๑, ๑๑๙/๒๕๓๑.