คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1337/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฎีกาของจำเลยหน้าแรกมีข้อความซึ่งประทับด้วยตรายางของศาลชั้นต้นว่า “ให้มาทราบคำสั่งในวันที่ 24 ตุลาคม 2532 ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว” โดยมีทนายจำเลยลงชื่อไว้ ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยผู้ยื่นฎีกาจัดการนำส่งสำเนาฎีกาให้อีกฝ่ายหนึ่งภายใน 15 วัน แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งในวันรุ่งขึ้นหลังจากจำเลยยื่นฎีกา (วันที่ 20 ตุลาคม 2532) ก็ตาม แต่การที่ทนายจำเลยลงชื่อทราบวันนัดให้มาฟังคำสั่งศาลดังกล่าว เป็นการแสดงเจตนายอมรับผูกพันตนเองว่าจะมาฟังคำสั่งในวันดังกล่าว ถ้าไม่มาก็ให้ถือว่าจำเลยทราบคำสั่งแล้ว ดังนั้นแม้จำเลยจะมิได้มาฟังคำสั่ง ก็ถือว่าคำสั่งศาลนั้นได้ส่งให้จำเลยโดยชอบ และจำเลยทราบคำสั่งนั้นแล้วตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2532 เมื่อจำเลยเพิกเฉยมิได้จัดการนำส่งสำเนาฎีกาภายในกำหนดเวลาที่ศาลสั่ง จึงเป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2)

ย่อยาว

มูลกรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิด ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน ๘๖,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ยื่นฎีกาเมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๓๒ ฎีกาของจำเลยที่ ๒ หน้าแรกมีข้อความซึ่งประทับด้วยตรายางของศาลชั้นต้นว่า”ให้มาทราบคำสั่งในวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๓๒ ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้วโดยมีลายมือชื่อทนายจำเลยที่ ๒ ผู้ยื่นฎีกาเซ็นไว้ในระหว่างคำว่า “(ลงชื่อ)” และคำว่า “ผู้ร้องหรือผู้ยื่น” ศาลชั้นต้นสั่งในฎีกาของจำเลยที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๓๒ ว่า”เสนอวันนี้ รับฎีกา ให้ผู้ฎีกานำส่งสำเนาให้อีกฝ่ายหนึ่งแก้ภายใน๑๕ วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งฎีกา” ต่อมาวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๓๒ เจ้าหน้าที่กรมบังคับคดีมีหนังสือรายงานศาลชั้นต้นว่า พ้นกำหนด๑๕ วันแล้ว จำเลยที่ ๒ หรือผู้แทนไม่มาเสียค่าธรรมเนียมในการส่งสำเนาฎีกา ศาลชั้นต้นจึงมีสำนวนมาศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นกำหนดเวลาให้จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นโจทก์ในชั้นฎีกาจัดการนำส่งสำเนาฎีกาให้อีกฝ่ายหนึ่งภายใน ๑๕ วัน แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งในวันรุ่งขึ้นหลังจากจำเลยที่ ๒ยื่นฎีกา ๑ วันก็ตาม การที่ทนายจำเลยที่ ๒ ลงลายมือชื่อทรายวันนัดให้มาฟังคำสั่งของศาลดังได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๒ ยอมรับผูกพันตนเองว่า จะมาฟังคำสั่งในวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๓๒ ถ้าไม่มาก็ให้ถือว่าจำเลยที่ ๒ทราบคำสั่งแล้ว นอกจากนี้ก็ปรากกว่าศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งดังกล่าวในฎีกาตั้งแต่วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๓๒ ซึ่งเป็นวันก่อนที่จะถึงวันที่กำหนดให้จำเลยที่ ๒ มาทราบคำสั่ง ฉะนั้น แม้จำเลยที่ ๒จะมิได้มาฟังคำสั่ง ก็ถือว่าคำสั่งศาลนั้นได้ส่งให้จำเลยที่ ๒โดยชอบ และจำเลยที่ ๒ ทราบคำสั่งนั้นแล้วตั้งแต่วันที่ ๒๔ ตุลาคม๒๕๓๒ ระยะเวลาสิ้นสุดที่จำเลยที่ ๒ จะต้องนำส่งสำเนาฎีกาตามคำสั่งศาลชั้นต้น คือวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ แต่ปรากฏตามรายงานเจ้าหน้าที่ฉบับลงวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๓๒ ว่าจำเลยที่ ๒ เพิกเฉยมิได้จัดการนำส่งสำเนาฎีกาในกำหนดนั้นจึงเป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๗๔(๒)
ให้จำหน่ายคดีจากสารบบความของศาลฎีกา

Share