คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1105/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เช็คพิพาทจำเลยออกให้แก่โจทก์ผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกันโดยมุ่งหมายให้เป็นประกันในการคืนทุนเมื่อเสร็จการของห้างหุ้นส่วนและเมื่อมีผลกำไร แต่กลับปรากฏว่าห้างหุ้นส่วนยังไม่สามารถดำเนินการให้เสร็จการตามกำหนดและยังไม่มีผลกำไรเช่นนี้ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินตามเช็ค การที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ ลงโทษจำคุก ๑ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าโจทก์จำเลยตกลงเข้าหุ้นส่วนกันประกอบกิจการค้าขายโทรศัพท์ โดยโจทก์เป็นผู้ลงทุนด้วยเงินและจำเลยเป็นผู้ลงแรงงาน และการที่โจทก์ยอมให้เปลี่ยนเช็คเป็นเช็คพิพาท และปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปถึง ๕-๖ เดือนนับแต่วันที่ลงในเช็คจึงนำเช็คไปขึ้นเงิน ยิ่งแสดงให้เห็นชัดว่าโจทก์ทราบถึงฐานะของจำเลยดีว่า จำเลยไม่สามารถใช้เงินตามเช็คได้เพราะยังขายโทรศัพท์ไม่ได้ เช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยออกให้แก่โจทก์ผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกัน โดยมุ่งหมายให้เป็นประกันในการคืนทุนเมื่อเสร็จการของห้างหุ้นส่วนและเมื่อมีผลกำไรแต่การกลับปรากฏว่าห้างหุ้นส่วนยังไม่สามารถดำเนินการให้เสร็จการตามกำหนดและยังไม่มีผลกำไร เช่นนี้ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินตามเช็คพิพาท การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ ตามที่โจทก์ฟ้อง
พิพากษายืน.

Share