คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 298/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยใช้มีดวิ่งเข้าไปจะแทงผู้ตายเพราะโกรธที่พี่ชายจำเลยถูกผู้ตายต่อย และจำเลยยังแทงทำร้ายผู้เสียหายซึ่งใช้เหล็กแป๊บน้ำตีขัดขวางถึงบาดเจ็บเป็นกรณีที่จำเลยสมัครใจเข้าร่วมวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน ไม่เป็นการป้องกันสิทธิของตนเองหรือของผู้อื่น ส่วนการที่จำเลยวิ่งหนีแล้วผู้ตายซึ่งไม่มีอาวุธวิ่งไล่ตาม และมีผู้เสียหายวิ่งตามหลังผู้ตายไป ก็เป็นพฤติการณ์ต่อสู้เกี่ยวเนื่องติดพันกัน จำเลยจึงไม่อาจอ้างเหตุดังกล่าวว่าจำต้องกระทำเพื่อต่อสู้ป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นได้
จำเลยวิ่งหนีแล้วหันกลับมาแทงผู้ตายซึ่งวิ่งไล่ตามเพียงครั้งเดียวแล้ววิ่งหนีต่อไป แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาฆ่าผู้ตายเพียงแต่แทงผู้ตายเพื่อให้พ้นการติดตามของผู้ตายกับพวก โดยไม่มีโอกาสเลือกแทงอวัยวะส่วนใดของผู้ตาย เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘, ๒๙๕, ๙๑, ๓๓ และขอให้ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘, ๒๙๕ ให้เรียงกระทงลงโทษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วตามมาตรา ๒๘๘ ให้จำคุก ๘ ปี ตามมาตรา ๒๙๕ ให้จำคุก ๓ เดือน จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก ๕ ปี ๖ เดือนของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยใช้มีดเป็นอาวุธวิ่งเข้าไปจะแทงผู้ตายเพราะโกรธที่นายประนอมพี่ชายถูกผู้ตายต่อยตกลงไปในคลองชลประทาน และยังแทงทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองซึ่งใช้เหล็กแป๊บน้ำตีขัดขวางถึงบาดเจ็บ จึงเป็นกรณีที่จำเลยสมัครใจเข้าร่วมวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันโดยไม่มีมูลเหตุที่จะอ้างว่าจำเลยป้องกันสิทธิของตนเองหรือของผู้อื่นได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยเจตนาตามฟ้อง ครั้นจำเลยวิ่งหนีไปไกลประมาณ ๘ เมตร ผู้ตายไม่มีอาวุธวิ่งไล่ติดตามไป มีผู้เสียหายทั้งสองวิ่งตามหลังผู้ตายประมาณ ๓ เมตร ก็เป็นพฤติการณ์ต่อสู้เกี่ยวเนื่องติดพันกัน จึงไม่มีเหตุที่จะอ้างว่ามีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง อันจะเป็นเหตุให้จำเลยต่อสู้ป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นได้ แต่การที่จำเลยวิ่งหนีแล้วหันกลับมาแทงผู้ตายซึ่งวิ่งไล่ตามโดยมีผู้เสียหายทั้งสองวิ่งตามมาด้วยเพียงครั้งเดียวแล้ววิ่งหนีต่อไปอีกนั้น ตามพฤติการณ์น่าเชื่อว่าจำเลยมิได้มีเจตนาฆ่าผู้ตาย แต่จำเลยใช้มีดปลายแหลมของกลางแทงผู้ตายเพียงเพื่อให้พ้นการติดตามของผู้ตายกับพวกโดยไม่มีโอกาสเลือกแทงอวัยวะส่วนใดของผู้ตาย เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลที่จำเลยแทงทำร้าย จำเลยคงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐ วรรคแรก เท่านั้น ซึ่งศาลฎีกามีอำนาจลงโทษได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๐ วรรคแรก, ๒๙๕ เรียงกระทงลงโทษตามมาตรา ๙๑จำเลยมีอายุ ๑๖ ปี ขณะกระทำความผิด ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นถึงแก่ความตายให้จำคุก๓ ปี ความผิดฐานทำร้ายร่างกายให้จำคุก ๓ เดือนจำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก๒ ปี ๒ เดือน ของกลางริบ.

Share