คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3847/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ด่าโจทก์ซึ่งเป็นมารดาว่า “เจ้าหยังมาหน้าเข่งแท่ อีหน้าบ่อมีสกุล หน้าบ่อมีสกุลลูกเฒ่าใสมึงอยากเกือกเลือดตี” คำว่า “อีหน้าบ่อมีสกุล” มีความหมายในตัวเป็นที่ทราบได้โดยทั่วไปว่าคนที่ถูกด่าหมายถึงคนนั้นตระกูลเลวทรามหรือคนเกิดมาไม่มีตระกูล และด่าโจทก์อีกว่า”อีหมอความใหญ่ มึงมีเงินพอกระสอบบ่อ ไปซื้อขี้ให้หมากินดีกว่า” เป็นถ้อยคำที่กล่าวไปถึงสัตว์เดรัจฉาน ถือได้ว่าเป็นการแสดงเจตนาดูหมิ่นโจทก์ผู้เป็นบุพการี หามีความเคารพยำเกรงตามวิสัยของบุตรทั่วไปไม่ เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์มารดาอย่างร้ายแรง เป็นการประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2) โจทก์เรียกทรัพย์ที่ให้จำเลยที่ 2 โดยเสน่หาคืนได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน โจทก์เป็นมารดาของจำเลยที่ 2 โจทก์ได้ยกที่ดิน 2 แปลงให้แก่จำเลยที่ 1และยกที่ดิน 1 แปลงให้แก่จำเลยที่ 2 ต่อมาจำเลยทั้งสองประพฤติเนรคุณโดยด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำหยาบคายและไม่สมควรและถือมีดทำท่าจะฟันโจทก์ จนโจทก์ต้องไปอาศัยบ้านคนอื่นอยู่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง จำเลยทั้งสองประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบที่ดินทั้งสามแปลงคืนแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินตามฟ้อง 2 แปลงแรกเป็นของจำเลยที่ 1 แปลงที่สามเป็นของจำเลยที่ 2 โจทก์ไม่ได้ทำนิติกรรมยกให้โดยเสน่หา โจทก์ไม่มีสิทธิเพิกถอนการให้ทั้งจำเลยทั้งสองไม่ได้หมิ่นประมาทด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำหยาบคายต่าง ๆ จำเลยทั้งสองได้อยู่กับโจทก์มา 29 ปี ทำมาหาเลี้ยงโจทก์และเคารพนับถือโจทก์เป็นมารดาตลอดมาไม่เคยให้โจทก์อดอยากโจทก์ไม่เคยขอสิ่งจำเป็นเพื่อเลี้ยงชีวิตจากจำเลยทั้งสองขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเป็นยุติตามที่ศาลอุทธรณ์รับฟังว่า โจทก์ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยทั้งสองโดยใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 2227 และ 1906 และใส่ชื่อของจำเลยที่ 2 ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2685 โดยไม่มีค่าภารติดพันคดีมีปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาโจทก์เพียงว่า จำเลยทั้งสองประพฤติเนรคุณอันเป็นเหตุให้โจทก์เพิกถอนคืนการให้ได้หรือไม่ข้อที่โจทก์อ้างว่า จำเลยทั้งสองด่าว่าโจทก์อันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงนั้นโจทก์เบิกความว่า เมื่อเดือนธันวาคม 2527เวลาประมาณ 16 นาฬิกา จำเลยทั้งสองกลับมาจากนาแล้วบอกให้โจทก์หาข้าวมาให้รับประทาน โจทก์บอกว่าข้าวนึ่งเสร็จแล้วแต่ไม่มีกับข้าว จึงยกปลาร้าไปให้ แต่จำเลยทั้งสองไม่รับประทานจำเลยที่ 1 ด่าโจทก์ว่า “อีหน้าหมาไม่มีสกุล โคตรพ่อโคตรแม่เป็นหมา” โจทก์ได้พูดโต้เถียงกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2จึงด่าโจทก์อีกว่า “อีหมาไม่มีสกุล แก่แล้วมีแต่แดกห่า แก่แล้วไปตายที่อื่นอย่ามาตายที่บ้านกู” นอกจากนั้นยังด่าด้วยข้อความหยาบ ๆ อีก ทั้งจำเลยทั้งสองยังทำท่าจะใช้มีดฟันโจทก์โจทก์จึงไปแจ้งนายท่อนจันทร์ นุภา ผู้ใหญ่บ้านแล้วไปนอนที่อื่นเห็นว่า คำเบิกความของโจทก์ดังกล่าวไม่ตรงกับบันทึกตามเอกสารหมาย จ.8 และ จ.9 โดยมีนายท่อนจันทร์มาเบิกความประกอบว่า เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2527 เวลาประมาณ 21 นาฬิกาโจทก์ได้มาแจ้งต่อพยานว่า จำเลยที่ 2 ด่าโจทก์ ในวันนั้นพยานได้บันทึกข้อความไว้ตามเอกสารหมาย จ.8 ต่อมาวันที่ 5 มกราคม 2528โจทก์ได้มาแจ้งความอีก โดยโจทก์มีความประสงค์จะขอแบ่งที่ดินพิพาทจากจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองไม่ยินยอม และในวันที่5 มกราคม 2528 นั้นเอง โจทก์ได้แจ้งอีกว่าจำเลยที่ 2 ได้ด่าโจทก์ว่า “อีหมอความใหญ่ มึงมีเงินเท่ากระสอบข้าวไหม เอาเงินไปซื้อขี้ให้หมากินดีกว่า” พยานได้ทำบันทึกคำร้องทุกข์ไว้อีกปรากฏตามเอกสารหมาย จ.9 สำหรับนายท่อนจันทร์ซึ่งโจทก์อ้างเป็นพยานได้ความจากพยานปากนี้ว่า พยานเป็นผู้ใหญ่บ้านท้องที่เกิดเหตุเมื่อโจทก์มาแจ้งความร้องทุกข์ก็ได้บันทึกถ้อยคำที่จำเลยที่ 2ด่าโจทก์ไว้ทันที ได้ปฏิบัติไปตามหน้าที่ราชการโดยไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ฟังได้ว่าเป็นพยานคนกลางจึงมีน้ำหนักรับฟังเชื่อได้ว่าพยานปากนี้ได้บันทึกข้อความที่จำเลยที่ 2 ด่าโจทก์ไว้ตามเอกสารหมาย จ.8 และ จ.9 จริง เมื่อพิเคราะห์ข้อความตามเอกสารหมาย จ.8 ที่ว่า “เจ้าหยังมาหน้าเข่งแท่อีหน้าบ่อมีสกุลหน้าบ่อมีสกุลลูกเฒ่าใส มึงอยากเกือกเลือดดี” และเอกสารหมาย จ.9ที่ว่า “อีหมอความใหญ่ มึงมีเงินพอกระสอบบ่อ มึงไปซื้อขี้ให้หมากินดีกว่า” แม้ข้อความตามเอกสารหมาย จ.8 เป็นภาษาพื้นบ้านแต่มีคำว่า”อีหน้าบ่อมีสกุล” รวมอยู่ด้วย ข้อความนี้ย่อมมีความหมายในตัวเป็นที่ทราบได้โดยทั่วไปว่า คนที่ถูกด่าหมายถึงคนนั้นมีตระกูลเลวทรามหรือเป็นคนเกิดมาไม่มีตระกูลและถ้อยคำที่ว่า “อีหมอความใหญ่มึงมีเงินพอกระสอบบ่อ ไปซื้อขี้ให้หมากินดีกว่า” ก็กล่าวไปถึงสัตว์เดรัจฉาน ถือได้ว่าเป็นการแสดงเจตนาดูหมิ่นโจทก์ผู้เป็นบุพการี หามีความเคารพยำเกรงตามวิสัยของบุตรทั่วไปไม่ฟังได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์มารดาอย่างร้ายแรง เป็นการประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ผู้ให้แล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2)โจทก์เรียกทรัพย์ที่ให้จำเลยที่ 2 โดยเสน่หาคืนได้ ส่วนจำเลยที่ 1นั้น ที่โจทก์เบิกความว่า จำเลยที่ 1 ด่าโจทก์ว่า “อีหน้าหมาไม่มีสกุล โคตรพ่อโคตรแม่เป็นหมา” ก็มีแต่คำเบิกความของโจทก์เพียงปากเดียวลอย ๆ ไม่มีพยานอื่นสนับสนุนทั้งนายท่อนจันทร์ผู้ใหญ่บ้าน พยานโจทก์ก็เบิกความยืนยันว่า ในวันที่โจทก์ไปแจ้งความนั้น โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนด่าโจทก์เพียงคนเดียวจำเลยที่ 1 ไม่ได้ด่าโจทก์ด้วย ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ด่าโจทก์ ดังนั้น โจทก์จึงถอนคืนการให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2) ไม่ได้ ส่วนที่ว่าจำเลยทั้งสองได้บอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ในเวลาที่โจทก์ยากไร้และแก่ชราในเมื่อจำเลยทั้งสองสามารถจะให้ได้ ตามที่โจทก์ฟ้องอีกประการหนึ่งนั้น ในข้อนี้โจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่า โจทก์เป็นคนยากไร้และได้ไปขอสิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตจากจำเลยทั้งสองแต่อย่างใด กลับได้ความจากคำของนายเรือง หลักหาญ บุตรโจทก์เองว่าหลังเกิดเหตุแล้วนายเรืองได้พาโจทก์ไปหาจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองก็ยอมรับเลี้ยงโจทก์เช่นนี้ คดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้บอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ในเวลาโจทก์ยากไร้ ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็น โดยให้เพิกถอนการให้ที่ดิน 1 แปลงในส่วนที่โจทก์โอนใส่ชื่อจำเลยที่ 2 ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 2658 โดยเสน่หาคืนให้โจทก์ไป ให้จำเลยที่ 2ไปจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ ถ้าไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share