แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระหนี้ฐานผิดสัญญากู้เงิน สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี และบังคับจำนอง จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้คดีและฟ้องแย้งว่า ไม่เคยทำสัญญากู้เงินไม่เคยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและไม่เคยทำสัญญาจำนองที่ดินกับโจทก์ โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ตกลงจะลดยอดหนี้ลงถ้าหากจำเลยที่ 1 ขายที่ดินบางส่วนมาชำระหนี้ ทำให้จำเลยที่ 1 ต้องขายที่ดินในราคาต่ำกว่าท้องตลาด ต้องสูญเสียโอกาสและราคาที่ดินที่ควรจะได้รับ แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยที่ 1 เห็นได้ว่า คำฟ้องแย้งดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าโจทก์ประพฤติผิดสัญญาที่ตกลงไว้กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเรื่องใหม่นอกเหนือจากคำฟ้องเดิม ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 จึงเป็นเรื่องอื่น ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมที่จะรวมพิจารณาพิพากษาไปในคดีเดียวกันได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินและสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี โดยให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๑๑,๓๐๖,๔๑๘.๗๙ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๔.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๙,๘๕๙,๘๔๔.๙๖ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้จำเลยที่ ๒ ร่วมรับผิดชำระเงิน ๘,๗๖๕,๔๒๖.๘๑ บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๔.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๗,๔๙๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การมอบอำนาจให้ฟ้องคดีไม่ชอบ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๑ ไม่เคยทำสัญญากู้เงินโจทก์ จำเลยที่ ๑ ไม่เคยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี ลายมือชื่อในสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีมิใช่ของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ ไม่เคยนำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองตามฟ้อง โจทก์คิดคำนวณดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง จำเลยที่ ๑ ไม่เคยได้รับหนังสือทวงถามและให้ไถ่ถอนจำนอง จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามฟ้อง กับฟ้องแย้งว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและทำผิดประเพณีที่ธนาคารถือปฏิบัติต่อลูกค้ากับฝ่าฝืนระเบียบตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้จำเลยที่ ๑ เสียหาย เป็นเงินประมาณ ๔,๐๐๐ ,๐๐๐ บาท เมื่อหักกับยอดหนี้ที่ถูกต้องประมาณ ๓,๖๐๐,๐๐๐ บาท แล้วโจทก์จึงต้องรับผิดชำระเงินให้แก่จำเลยที่ ๑ อีก ๔๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ชำระเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท แก่จำเลยที่ ๑
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การ ส่วนฟ้องแย้งเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข จึงไม่รับ คืนค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ ๑ ทั้งหมด
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษา
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองฐานผิดสัญญากู้เงิน สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและบังคับจำนอง จำเลยที่ ๑ ให้การต่อสู้คดีว่าจำเลยที่ ๑ ไม่เคยทำสัญญากู้เงิน ไม่เคยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี และไม่เคยทำสัญญาจำนองที่ดินกับโจทก์ การคิดคำนวณดอกเบี้ยของโจทก์ไม่ถูกต้อง โจทก์เป็นฝ่ายละเมิดสัญญาและประเพณีที่ธนาคารยึดถือปฏิบัติต่อลูกค้า โจทก์ตกลงจะลดยอดหนี้ลงให้ถูกต้อง ถ้าหากจำเลยที่ ๑ ขายที่ดินบางส่วนมาชำระหนี้ ทำให้จำเลยที่ ๑ ต้องขายที่ดินในราคาต่ำกว่าในท้องตลาด จำเลยที่ ๑ ต้องเสียหายสูญเสียโอกาสและราคาที่ดินที่ควรจะได้รับ แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ทำให้จำเลยที่ ๑ ได้รับความเสียหายเป็นเงินประมาณ ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อหักกับยอดหนี้ที่ถูกต้องประมาณ ๓,๖๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์จึงต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ ๑ จำนวน ๔๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งจำเลยที่ ๑ ขอถือเอาเป็นทุนทรัพย์ฟ้องแย้ง ขอศาลบังคับให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน ๔๐๐,๐๐๐ บาท แก่จำเลยที่ ๑ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ คำฟ้องแย้งดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๑ อ้างว่าโจทก์ประพฤติผิดสัญญาที่ตกลงไว้กับจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเรื่องใหม่นอกเหนือจากคำฟ้องเดิม ฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นเรื่องอื่น ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมที่จะรวมพิจารณาพิพากษาไปในคดีเดียวกันได้ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.