แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การออกเช็คเพื่อค้ำประกันลูกหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ เป็นการออกเช็คโดยเจตนาจะให้ผูกพันและชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย เมื่อลูกหนี้มีมูลหนี้ต่อเจ้าหนี้จริง ผู้ออกเช็คจึงต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คต่อเจ้าหนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๔๔๔,๙๖๓ บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๒ กระทำการในฐานะกรรมการของจำเลยที่ ๑ มิได้กระทำในฐานะส่วนตัว จำเลยทั้งสองมิได้เป็นหนี้โจทก์ โจทก์หลอกลวงทำบิลรับของมาให้จำเลยทั้งสองสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ค่าดินลูกรัง โดยที่จำเลยทั้งสองไม่เคยได้รับดินลูกรังจากโจทก์ เช็คพิพาทจึงเป็นเช็คไม่มีมูลหนี้ต่อกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๔๔๔,๙๖๓ บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๓๙ จนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ ๒๐,๐๐๐ บาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๒ ให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๑๒,๐๐๐ บาท แทนโจทก์
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนได้ลงลายมือชื่อและประทับตราของจำเลยที่ ๑ สั่งจ่ายเช็คพิพาทตามเอกสารหมาย จ. ๓ ให้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์นำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๓๙ ตามใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ. ๑๐ คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ ว่าจำเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดตามเช็คพิพาทต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ในชั้นแรก จำเลยทั้งสองให้การรับว่า จำเลยที่ ๑ ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพราะถูกโจทก์หลอกลวงให้สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ค่าดินลูกรังโดยที่ไม่เคยได้รับดินลูกรังจากโจทก์เลย แต่ในชั้นพิจารณา จำเลยที่ ๒ กลับเบิกความว่า จำเลยที่ ๑ ประมูลงานสร้างทางรถไฟของการรถไฟแห่งประเทศไทยมาได้แล้วว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด นุตจรัสก่อสร้างถมดินลูกรังตามสัญญาการจ้างเอกสารหมาย ล. ๑ เมื่อถมดินลูกรังไปได้บางส่วนแล้ว ห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวอ้างว่าไม่มีทุนซื้อดินลูกรังต่อ จึงได้ขอให้จำเลยที่ ๑ ออกเช็คค้ำประกันให้แก่ผู้ขายดินลูกรัง จำเลยที่ ๑ ก็ออกเช็คพิพาทให้ไป ต่อมาจำเลยที่ ๑ ทราบว่า มีการสั่งดินลูกรังมากผิดปกติจึงแจ้งให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด นุตจรัสก่อสร้างทราบ ห้างหุ้นส่วนจำกัด นุตจรัสก่อสร้างก็แจ้งว่าจะนำเช็คพิพาทมาคืนจำเลยที่ ๑ ทั้งนี้ โดยที่จำเลยที่ ๑ ไม่เคยว่าจ้างหรือซื้อดินลูกรังจากโจทก์ ฉะนั้น คำเบิกความของจำเลยที่ ๒ ดังกล่าวจึงขัดแย้งกับคำให้การของจำเลยทั้งสอง นอกจากนี้แล้วตามใบสำคัญจ่ายเอกสารหมาย จ. ๑ และ จ. ๒ ซึ่งเป็นเอกสารของจำเลยที่ ๑ เอง นอกจากจะมีข้อความระบุว่า จ่ายเงินให้แก่โจทก์แล้วยังมีข้อความว่า จ่ายค่าดินลูกรังแทนห้างหุ้นส่วนจำกัด นุตจรัสก่อสร้างด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามบัญชีงวดงานงวดที่ ๑๐ ห้างหุ้นส่วนจำกัด นุตจรัสก่อสร้าง (บริษัทไจแอ็นทชำระแทน) เอกสารหมาย ล. ๒ ก็มีรายการจ่ายค่าดินลูกรังให้แก่โจทก์หลายครั้ง ซึ่งก็สอดคล้องกับคำพยานโจทก์ที่ว่าในช่วงหลังห้างหุ้นส่วนจำกัด นุตจรัสก่อสร้างให้โจทก์นำดินลูกรังไปส่งให้กับจำเลยที่ ๑ โดยตรง เพื่อจะได้รับเงินสดเร็วขึ้น กรณีจึงมีเหตุผลน่าเชื่ออย่างยิ่งว่า จำเลยที่ ๑ สั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ไม่ใช่ค้ำประกันหนี้ดังที่จำเลยที่ ๑ อ้าง อนึ่ง แม้จะเป็นการออกเช็คเพื่อค้ำประกันหนี้ดังที่จำเลยที่ ๑ อ้างก็ไม่พ้นความรับผิดเพราะการออกเช็คเพื่อค้ำประกันลูกหนี้ให้โจทก์ก็เป็นการออกเช็คโดยเจตนาจะให้ผูกพันและชำระหนี้ได้ตามกฎหมายโดยลูกหนี้มีมูลหนี้ต่อโจทก์จริง จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาต่อไปอีกว่า จำเลยที่ ๑ ได้ยกข้อต่อสู้ที่ว่า โจทก์จัดส่งดินลูกรังไม่ครบถ้วน จำเลยที่ ๑ จึงมีคำสั่งให้ระงับการจ่ายเงินตามเช็คพิพาทขึ้นเป็นประเด็นมาตั้งแต่ในศาลชั้นต้นแล้ว ศาลอุทธรณ์จึงต้องรับวินิจฉัยให้นั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสองเพียงแต่ให้การต่อสู้คดีไว้ว่า จำเลยทั้งสองมิได้เป็นหนี้โจทก์ โจทก์หลอกลวงทำบิลรับของมาให้จำเลยทั้งสองสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ค่าดินลูกรัง โดยที่จำเลยทั้งสองไม่เคยได้รับดินลูกรังจากโจทก์เท่านั้น มิได้กล่าวอ้างถึงข้อที่ว่า โจทก์ส่งดินลูกรังให้จำเลยที่ ๑ ไม่ครบถ้วน จำเลยที่ ๑ จึงมีคำสั่งให้ระงับการจ่ายเงินตามเช็คพิพาทแต่อย่างไร กรณีจึงถือไม่ได้ว่า จำเลยที่ ๑ ได้ยกข้อต่อสู้ดังกล่าวเป็นประเด็นขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น กรณีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรคแรก ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าทนายความในชั้นฎีกา ๑๐,๐๐๐ บาท แทนโจทก์.
(ไพศาล เจริญวุฒิ – ศิริชัย สวัสดิ์มงคล – สมชาย จุลนิติ์)