คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2071/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์โดยนำโฉนดที่ดินของจำเลยที่ 1 ที่ 2 มาให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า โฉนดที่ดินดังกล่าวถูกไฟไหม้หายไป แล้วจำเลยที่ 1 ได้คัดรายงานประจำวันไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอออกใบแทนโฉนด และจำเลยทั้งสี่ให้ถ้อยคำยืนยันต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่า โฉนดที่ดินถูกไฟไหม้สูญหายไปซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงโฉนดดังกล่าวอยู่ที่โจทก์ ดังนี้ การแจ้งความเท็จดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสี่กระทำต่อเจ้าพนักงาน และตามคำแจ้งความก็มิได้แจ้งเจาะจงกล่าวถึงโจทก์อันจะถือว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรง อีกทั้งโจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะบังคับเอากับโฉนดที่ดินดังกล่าวได้ตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗, ๑๗๒, ๒๖๗, ๒๖๘, ๘๓
ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ ๑ แจ้งความเท็จต่อพนักงานสอบสวนว่า โฉนดที่ดินเลขที่ ๕๖๗๖ ถูกไฟไหม้ และจำเลยที่ ๑ ใช้รายงานประจำวันที่พนักงานสอบสวนได้ทำขึ้นนำไปยื่นต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรีเพื่อขอออกใบแทนโฉนด ตลอดจนการที่จำเลยทั้งสี่ได้ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าโฉนดถูกไฟไหม้ไปอันเป็นเท็จ ทำให้เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อออกใบแทนโฉนดให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ แล้วจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นไปนั้น โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายในกรณีดังกล่าว เพราะการแจ้งความเท็จดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสี่กระทำต่อเจ้าพนักงาน และตามคำแจ้งความก็มิได้แจ้งเจาะจงกล่าวถึงโจทก์ อันจะถือว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรง อีกทั้งโจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะบังคับเอากับโฉนดที่ดินดังกล่าวได้ตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share