แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สับปะรดเป็นพืชถาวรจำพวกใบเลี้ยงเดี่ยว ที่มีอายุหลายปี ลำต้นสับปะรดไม่มีเนื้อไม้ให้เห็นเด่นชัด สับปะรดจึงไม่ใช่ไม้ยืนต้น
นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของจำเลยที่ 1 ได้แต่งตั้งคณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อสร้างท่าเรือน้ำลึกตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชาและตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุงจังหวัดชลบุรี พ.ศ. 2521 คณะกรรมการเวนคืนดังกล่าวย่อมมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการให้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยเจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืนให้ตกลงกันในเรื่องจำนวนค่าทดแทนตามมาตรา 18, 22, 25, 26 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะพิพาท เมื่อคณะกรรมการเวนคืนได้รับการแต่งตั้งโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว คณะอนุกรรมการที่คณะกรรมการเวนคืนแต่งตั้งย่อมเป็นตัวแทนของคณะกรรมการเวนคืนดังนั้นการกระทำของคณะอนุกรรมการดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายและข้อตกลงที่คณะอนุกรรมการได้กระทำไว้กับโจทก์จึงเป็นการกระทำแทนคณะกรรมการเวนคืนและเมื่อคณะกรรมการเวนคืนก็ได้เห็นชอบตามข้อตกลงดังกล่าว จึงย่อมมีผลใช้บังคับ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ตั้งอยู่ที่ตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ซึ่งถูกเวนคืนตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา และตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๒๑ และเป็นผู้มีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากการถูกเวนคืนทรัพย์สินของโจทก์ที่ถูกเวนคืนคือที่ดินจำนวน ๔๐ แปลง เป็นเงินค่าทดแทนจำนวน ๕,๘๕๖,๘๗๕ บาท อาคารสิ่งปลูกสร้าง ๓๗ หลังเป็นเงินค่าทดแทนจำนวน ๑,๑๒๔,๕๐๘ บาท สิ่งปลูกสร้างที่รื้อถอนไม่ได้ (บ่อเลี้ยงกุ้ง บ่อเลี้ยงปลา) จำนวน ๕๘ บ่อ เป็นเงินค่าทดแทนจำนวน ๑๖,๒๑๐,๒๒๑ บาท ไม้ยืนต้นจำนวน ๓๕ รายการเป็นเงินค่าทดแทนจำนวน ๒,๘๓๘,๔๙๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒๖,๐๓๐,๐๙๔ บาท โจทก์กับคณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ได้ทำความตกลงเรื่องเงินค่าทดแทนกันเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๒๔ ปรากฏตามบันทึกข้อตกลงและรายละเอียดทรัพย์สินที่ถูกเวนคืน เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑ หลังจากทำความตกลงกับโจทก์แล้วคณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ได้เสนอเรื่องดังกล่าวไปให้จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้อำนวยการและกรรมการจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ดำเนินการเบิกเงินมาจ่ายให้แก่โจทก์ตามข้อตกลง แต่จำเลยทั้งสองกลับนำข้อตกลงดังกล่าวอันเป็นข้อตกลงที่ยุติแล้วเสนอและนำเข้าประชุมระหว่างจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๑๖ ซึ่งเป็นคณะกรรมการของจำเลยที่ ๑ เพื่อให้คณะกรรมการดังกล่าวอนุมัติการจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์และผู้มีสิทธิอื่น ที่ประชุมมีมติให้จ่ายเงินค่าทดแทนให้โจทก์และผู้มีสิทธิอื่นตามจำนวนที่คณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ได้ทำบันทึกข้อตกลงกับโจทก์และผู้มีสิทธิอื่น แต่เมื่อจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เบิกเงินค่าทดแทนดังกล่าวมาแล้ว จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๑๖ ได้มีมติให้จ่ายค่าทดแทนให้แก่โจทก์เฉพาะค่าที่ดิน อาคารสิ่งปลูกสร้าง และไม้ยืนต้นอื่นเป็นเงิน ๗,๐๗๖,๖๑๓ บาท ส่วนต้นสับปะรด ต้นยูคาลิปตัสบ่อเลี้ยงกุ้ง และบ่อเลี้ยงปลา ซึ่งมีค่าทดแทนส่วนนี้รวมกันจำนวน ๑๘,๙๕๓,๔๘๑ บาท จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่ยอมจ่ายให้โจทก์โดยอ้างว่าทรัพย์สินดังกล่าวไม่มีอยู่ในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่อำเภอศรีราชา และอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๑๖ ซึ่งมีผลใช้บังคับในวันที่๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๗ ความจริงแล้วโจทก์ได้ขุดบ่อเลี้ยงกุ้งบ่อเลี้ยงปลา และปลูกต้นยูคาลิปตัส ต้นสับปะรดมาก่อนพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับ และได้บำรุงรักษาผลประโยชน์ตลอดมา เมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๒๕ จำเลยที่ ๑ ได้จ่ายค่าทดแทนค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและต้นไม้อื่น ๆ เป็นเงิน ๗,๐๗๖,๖๑๓ บาท ให้แก่โจทก์ยังคงค้างอีก ๑๘,๙๕๓,๔๘๑ บาท ซึ่งจำเลยทั้งสิบหกต้องรับผิดจ่ายเงินค่าทดแทนที่ยังค้างอยู่ดังกล่าวให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสิบหกไม่ใช้เงินค่าทดแทนซึ่งได้กำหนดไว้ตามข้อตกลงภายใน ๙๐ วันนับแต่วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๒๔ จำเลยทั้งสิบหกจะต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๖ ชำระเงินค่าทดแทนที่ค้างอยู่แก่โจทก์จำนวน ๑๘,๙๕๓,๔๘๑ บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ และจำเลยที่ ๘ ถึงที่ ๑๖ ยื่นคำให้การมีใจความทำนองเดียวกันว่าจำเลยที่ ๒ กระทำในฐานะเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์และเป็นกรรมการจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๑๖ กระทำในฐานะเป็นกรรมการจำเลยที่ ๑ ดังนั้นจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๑๖ จึงไม่ต้องรับผิดชอบเป็นส่วนตัว ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโดยมิได้บรรยายว่าจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๑๖ ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อกระทำละเมิดต่อโจทก์อย่างใดบ้าง สำหรับค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๑๖ รับผิดฐานละเมิดในฐานะส่วนตัวนั้นขาดอายุความแล้ว เพราะล่วงเลยกำหนด ๑ ปี นับแต่วันทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑ บันทึกข้อตกลงระหว่างคณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์กับโจทก์ ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑ นั้น ได้กระทำขึ้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือขณะประกาศใช้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่อำเภอศรีราชา และอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๑๖ นั้น โจทก์มีบ่อเลี้ยงกุ้ง บ่อเลี้ยงปลา อยู่ในบริเวณที่ที่ถูกเวนคืนเพียง ๖ บ่อเท่านั้น แต่คณะกรรมการเวนคืนได้ตกลงจ่ายค่าทดแทนส่วนนี้ให้โจทก์เป็นจำนวนถึง ๕๘ บ่อ ค่าทดแทนส่วนนี้จึงสูงกว่าความเป็นจริงและขณะประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าวโจทก์ไม่มีต้นยูคาลิปตัสและต้นสับปะรดอยู่ในบริเวณที่ถูกเวนคืนสำหรับต้นสับปะรดไม่ใช่ไม้ยืนต้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๔๙๗ โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทน การที่คณะกรรมการเวนคืนได้ตกลงจ่ายค่าทดแทนสำหรับต้นสับปะรดให้แก่โจทก์จึงเป็นการไม่ถูกต้อง จำเลยต่อสู้อีกว่ากรรมการเวนคืนที่ลงชื่อในบันทึกข้อตกลงเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑ ไม่ใช่กรรมการที่ได้รับแต่งตั้งโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้ลงชื่อในบันทึกจึงกระทำไปโดยไม่มีอำนาจ บันทึกข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันจำเลย และบุคคลที่ลงชื่อในบันทึกข้อตกลงดังกล่าวมิใช่เป็นผู้แทนหรือตัวแทนของจำเลย และตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๔๙๗ กำหนดให้ผู้มีสิทธิได้ค่าทดแทนได้ดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปีเท่านั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยตามฟ้อง การเรียกดอกเบี้ยของโจทก์เป็นการเรียกร้องเกินกว่าเหตุ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๗ ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๓,๔๐๓,๖๔๐.๔๒ บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปีในต้นเงิน ๓,๒๓๔,๙๖๕ บาท นับแต่วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๒๔ ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ ๑๐,๐๐๐ บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๑๖
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๑๖,๗๔๕,๕๕๑ บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๒๔ ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ ๑ ใช้เท่าที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๑๐,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ ๑ ในชั้นนี้จึงมีว่า จำเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดใช้เงินค่าทดแทนบ่อเลี้ยงกุ้ง บ่อเลี้ยงปลา ต้นยูคาลิปตัส และต้นสับปะรด ให้แก่โจทก์เป็นจำนวนเท่าใด เห็นว่าเมื่อนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของจำเลยที่ ๑ ได้แต่งตั้งกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามมติของคณะรัฐมนตรีเพื่อสร้างท่าเรือน้ำลึกตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา และตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุงจังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๒๑ จำนวน ๖ คน ตามเอกสารหมาย ล.๒๗ เช่นนี้คณะกรรมการเวนคืนดังกล่าวย่อมมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการให้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยเจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืนให้ตกลงกันในเรื่องจำนวนค่าทดแทนตามมาตรา ๑๘, ๒๒, ๒๕, ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๔๙๗ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะพิพาท เมื่อคณะกรรมการเวนคืนได้รับการแต่งตั้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว คณะอนุกรรมการที่คณะกรรมการเวนคืนแต่งตั้งย่อมเป็นตัวแทนของคณะกรรมการเวนคืน ดังนั้น การกระทำของคณะอนุกรรมการดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย และข้อตกลงที่คณะอนุกรรมการได้กระทำไว้กับโจทก์ตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.๑ ถึง จ.๕ จึงเป็นการกระทำแทนคณะกรรมการเวนคืนและคณะกรรมการเวนคืนก็ได้เห็นชอบตามข้อตกลงดังกล่าวจึงย่อมมีผลใช้บังคับ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่าข้อตกลงต่าง ๆ ตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.๑ ถึง จ.๕ ขัดต่อกฎหมายหรือไม่ ข้อนี้ได้ความจากโจทก์และจำเลยที่ ๒ ว่า เมื่อคณะอนุกรรมการได้ทำความตกลงกับโจทก์และบันทึกข้อตกลตามเอกสารหมาย จ.๑ ถึง จ.๕ แล้ว ได้เสนอข้อตกลงดังกล่าวต่อคณะกรรมการเวนคืน คณะกรรมการเวนคืนเห็นชอบตามข้อตกลงดังกล่าวจึงได้เสนอต่อจำเลยที่ ๑ เพื่อพิจารณา จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ได้เสนอข้อตกลงดังกล่าวตามเอกสารหมาย จ.๑ ถึง จ.๕ ต่อคณะกรรมการจำเลยที่ ๑ ซึ่งมีจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๑๖ เป็นกรรมการเพื่อพิจารณา เมื่อจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๑๖ ได้พิจารณาแล้วจึงมีมติอนุมัติให้จำเลยที่ ๑ จ่ายเงินทดแทนให้แก่โจทก์ได้ตามจำนวนเงินตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.๑ ถึง จ.๕ เหตุที่จำเลยที่ ๑ ไม่จ่ายเงินค่าทดแทนให้โจทก์ทั้งหมดเนื่องจากมีการร้องเรียนจากสหภาพแรงงานของจำเลยที่ ๑ เช่นนี้ เห็นว่า บันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.๑ ถึง จ.๕ นั้น คณะกรรมการเวนคืนเห็นชอบด้วยกับคณะอนุกรรมการที่ได้พิจารณาและพยายามทำความตกลงกับโจทก์ในเรื่องจำนวนเงินค่าทดแทนอันจะต้องใช้ให้ การที่คณะอนุกรรมการได้ทำความตกลงกับโจทก์ดังกล่าวและโจทก์ยินยอมตกลงด้วยนั้น คณะอนุกรรมการคงต้องพิจารณาเห็นว่าอสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินของโจทก์มีมาก่อนที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่อำเภอศรีราชาและอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๑๖ ใช้บังคับ ทั้งเมื่อคณะกรรมการเวนคืนเสนอบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.๑ ถึง จ.๕ ต่อคณะกรรมการจำเลยที่ ๑ คือจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๑๖ คณะกรรมการจำเลยที่ ๑ ก็เห็นชอบและอนุมัติให้จ่ายเงินทดแทนแก่โจทก์ได้ตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว หากคณะอนุกรรมการไม่มีอำนาจกระทำการแทนคณะกรรมการเวนคืน คณะกรรมการจำเลยที่ ๑ ก็น่าจะคัดค้านหรือทักท้วงและมีอำนาจที่จะไม่อนุมัติให้จ่ายเงินทดแทนตามบันทึกดังกล่าวได้แต่คณะกรรมการจำเลยที่ ๑ ก็หาได้ทำเช่นนั้นไม่ จึงแสดงว่าบันทึกข้อตกลงที่คณะอนุกรรมการทำไว้กับโจทก์โดยผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการเวนคืนแล้ว เป็นข้อตกลงที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นข้อตกลงที่ถูกต้องตามความเป็นธรรมตามความเห็นของคณะกรรมการเวนคืนและของคณะกรรมการจำเลยที่ ๑ ซึ่งได้อนุมัติให้จำเลยที่ ๑ จ่ายเงินทดแทให้แก่โจทก์ได้ตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว เหตุที่จำเลยที่ ๑ ไม่จ่ายเงินทดแทนให้โจทก์ทั้ง ๆ ที่ได้เบิกเงินทดแทนจำนวนตามบันทึกข้อตกลงจากกระทรวงการคลังมาแล้ว ก็เนื่องจากมีการร้องเรียนจากสหภาพแรงงานของจำเลยที่ ๑ คัดค้านการจ่ายเงินทดแทนรายนี้ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องที่คณะอนุกรรมการที่คณะกรรมการเวนคืนได้แต่งตั้งไปทำข้อตกลงกับโจทก์ก็ไม่ปรากฏว่าคณะอนุกรรมการดังกล่าวได้กระทำไปโดยไม่ชอบหรือโดยไม่สุจริตแต่ประการใด เชื่อว่าอสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.๑ ถึง จ.๕ มีอยู่ก่อนที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่อำเภอศรีราชาและอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๑๖ ประกาศใช้บังคับ ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าบ่อเลี้ยงกุ้ง บ่อเลี้ยงปลา ต้นยูคาลิปตัส และต้นสับปะรด มีมาก่อนพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวประกาศใช้ ทั้งไม่มีข้อโต้เถียงว่าราคาเป็นธรรมหรือไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยถึงราคาทรัพย์สินดังกล่าวเพราะคณะอนุกรรมการได้ตกลงกำหนดราคาไว้โดยโจทก์ยอมรับและผ่านขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการเวนคืนและคณะกรรมการจำเลยที่ ๑ โดยชอบแล้วย่อมถือได้ว่าเป็นการกำหนดราคาที่ถูกต้องและเป็นธรรมแล้ว ดังนั้นจำเลยที่ ๑ จึงต้องจ่ายค่าทดแทนบ่อเลี้ยงกุ้งบ่อเลี้ยงปลา และต้นยูคาลิปตัส ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น
คดีคงมีปัญหาต่อไปว่าต้นสับปะรดเป็นไม้ยืนต้นตามมาตรา ๑๑(๔) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๔๙๗ หรือไม่ พิเคราะห์แล้วได้ความจากคำเบิกความของหม่อมหลวงจารุพันธ์ทองแถม พยานจำเลยซึ่งรับราชการในตำแหน่งรองศาสตราจารย์ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ว่าการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้ติดต่อและสอบถามมายังมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ว่าสับปะรดเป็นไม้ยืนต้นหรือไม่ ตามหนังสือสอบถามเอกสารหมาย ล.๔๖ ทางมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มอบเรื่องให้พยานเป็นผู้วินิจฉัย พยานวินิจฉัยแล้วว่า คำว่าไม้จะต้องมีเนื้อไม้ และยืนต้นจะต้องเป็นต้นที่มีลำต้นยืนขึ้นไปในอากาเป็นลำต้นเดี่ยว ซึ่งเป็นลำต้นประธาน จึงจะเรียกว่าไม้ยืนต้นได้ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า “ทรี” ยกตัวอย่างไม้ยืนต้น เช่น ต้นมะขาม มะม่วง ขนุน เงาะ ลำไย เป็นต้น ส่วนสับปะรดในภาษาอังกฤษไม่ใช้คำว่า “ทรี” แต่เป็นพืชถาวรหรือพืชหลายฤดู และไม่ใช่พืชล้มลุกลำต้นสับปะรไม่มีเนื้อไม้ให้เห็นเด่นชัดดังเช่นไม้ยืนต้นอื่น ๆ พยานจึงวินิจฉัว่าสับปะรดไม่ใช่ไม้ยืนต้น แต่เป็นพืชถาวรจำพวกใบเลี้ยงเดี่ยวที่มีอายุหลายปี ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.๔๗ และตำราในมหาวิทยาลัยก็ยึดหลักที่ว่าสับปะรดไม่ใช่ไม้ยืนต้น จนกระทั่งปัจจุบันนี้เห็นว่า คำเบิกความของหม่อมหลวงจารุพันธ์พยานจำเลยมีเหตุผลประกอบด้วยหลักวิชาการน่าเชื่อถือมีน้ำหนักดีกว่าคำเบิกความของนายทนงจิตร วงษ์ศิริ พยานโจทก์ซึ่งเป็นรองอธิบดีกรมวิชาการเกษตรที่เบิกความประกอบความเห็นตามเอกสารหมาย จ.๓๖ ว่า ต้นสับปะรดเป็นไม้ยืนต้นอายุสั้นแต่พยานปากนี้เคยให้ความเห็นแก่จำเลยมาก่อนว่าต้นสับปะรดเป็นพืชล้มลุกถาวรเช่นเดียวกับต้นกล้วยตามเอกสารหมาย ล.๔๕ ดังนี้ การให้ความเห็นของนายทนงจิตรพยานโจทก์จึงไม่แน่นอนไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ และไม่สามารถหักล้างคำวินิจฉัยของหม่อมหลวงจารุพันธ์พยานจำเลยได้ เมื่อได้พิจารณาตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ แล้ว คำว่า “ยืนต้น” หมายถึงเรียกต้นไม้ใหญ่ที่มีผลและอายุยืนนาน ส่วนคำว่า “สับปะรด” คือชื่อพรรณไม้ชนิดหนึ่ง ผลมีตาโดยรอบ รสเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ ใบเป็นกาบยามีหนามและมีใย ไม่มีลำต้นปรากฏบนพื้นดิน หรือตามพจนานุกรมฉบับเดียวกันนี้ พิมพ์ครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๓๐ ก็ได้ให้ความหมายพืชชนิดนี้ว่า “ชื่อไม้ล้มลุก…ไม่มีลำต้นปรากฏบนพื้นดิน…”เช่นนี้เห็นว่า ต้นสับปะรดแม้จะแตกหน่อมีอายุหลายปี แต่ก็เป็นพืชชนิดที่ไม่ใช่ไม้ยืนต้นตามคำวินิจฉัยของหม่อมหลวงจารุพันธ์พยานจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าทดแทนต้นสับปะรดนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
อย่างไรก็ตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินค่าทดแทนบ่อเลี้ยงกุ้งและบ่อเลี้ยงปลา จำนวน ๕๘ บ่อ เป็นเงิน ๑๖,๒๑๐,๒๒๑ บาท กับค่าต้นไม้ยืนต้นเว้นต้นสับปะรด เป็นเงินอีก ๕๓๕,๓๓๐ บาท รวมเป็น ๑๖,๗๔๕,๕๕๑ บาท นั้น ปรากฏตามบัญชีรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์ที่ถูกเวนคืนประเภทต้นไม้ตามเอกสารหมาย จ.๕ โดยแยกต้นไม้เป็น ๓ จำพวก คือ ต้นยูคาลิปตัส เป็นเงิน ๔๔๐,๑๐๐ บาท ต้นสับปะรด เป็นเงิน ๒,๓๐๓,๑๖๐ บาท และต้นไม้อื่นเป็นเงิน ๙๕,๒๓๐ บาท เฉพาะค่าทดแทนต้นไม้อื่น ๆ จำนวน ๙๕,๒๓๐ บาทนั้น จำเลยที่ ๑ ได้จ่ายค่าทดแทนให้โจทก์รับไปพร้อมกับค่าเวนคืนที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างเป็นอาคารตามเอกสารหมาย จ.๖ แล้ว ดังนั้นศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขค่าทดแทนส่วนนี้ให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๑๖,๖๕๐,๓๒๑ บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๒๔ ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับกันไปทั้งสองฝ่าย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.