คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4041/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยอาศัยที่ดินพิพาทของโจทก์อยู่ หากต่อมาประสงค์จะแย่งการครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยต้องแจ้งให้แก่โจทก์ผู้ครอบครองทราบ เพื่อเปลี่ยนลักษณะแห่งการครอบครองว่าต่อไปจะครอบครองเพื่อตนเอง เมื่อจำเลยมิได้กระทำอย่างใดให้เห็นว่าเป็นการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาท การครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยจึงเป็นการครอบครองแทนโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้องต่อไปและส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสองมิได้ขออาศัยในที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทโดยสงบ เปิดเผยนานกว่า ๑๐ ปี หากที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยเข้าอยู่อาศัยทำประโยชน์มานานกว่า ๑ ปี โจทก์จึงหมดสิทธิในที่ดินพิพาทแล้วขอให้ยกฟ้องและห้ามโจทก์กับบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่พิพาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์เห็นว่าจำเลยเป็นญาติจึงให้อาศัยอยู่ในที่ดินพิพาท ต่อมาโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาท จำเลยยอมทำหนังสือว่าจะออกจากที่ดินพิพาทแต่ไม่ออก การครอบครองของจำเลยเพราะโจทก์อนุญาต จึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิครอบครองเพื่อตน ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๒ มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ยกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑ ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาในชั้นฎีกาว่าโจทก์หรือจำเลยทั้งสองมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ซึ่งโจทก์มีบันทึกเอกสารหมาย จ.๔ มาเป็นหลักฐานว่า จำเลยที่ ๑ ได้ลงลายมือชื่อในบันทึกดังกล่าวยอมตกลงว่าจะย้ายออกจากที่ดินพิพาทภายในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๒๗ เพราะโจทก์จะเข้าทำกิน โดยมีชื่อจำเลยที่ ๒ เป็นพยานรู้เห็นด้วย แม้จำเลยที่ ๒ จะเบิกความปฏิเสธว่าไม่ใช่ลายมือของจำเลยที่ ๒ แต่เมื่อเปรียบเทียบลายมือของจำเลยที่ ๒ ในเอกสารหมาย จ.๔ กับใบแต่งทนายความของจำเลยที่ ๒ แล้ว เห็นว่าลายมือชื่อคล้ายคลึงกัน น่าเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยที่ ๒ เพราะไม่มีเหตุผลใดที่จะมีผู้ปลอมลายมือชื่อจำเลยที่ ๒ ในเอกสารดังกล่าวข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองอาศัยที่ดินของโจทก์อยู่ จำเลยทั้งสองจึงได้ทำบันทึกยอมออกจากที่ดินพิพาทภายในกำหนดเวลาตามบันทึกนั้น โจทก์จึงมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท หากจำเลยที่ ๒ จะแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ จำเลยที่ ๒ ต้องแจ้งให้แก่โจทก์ทราบเพื่อเปลี่ยนลักษณะแห่งการครอบครองว่าจะครอบครองเพื่อตนเองจึงจะเป็นการแย่งการครอบครองจากโจทก์ แต่จำเลยที่ ๒ มิได้กระทำอย่างใดให้เห็นว่าเป็นการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาท จึงต้องฟังว่าจำเลยที่ ๒ อาศัยที่ดินพิพาทของโจทก์อยู่เป็นการครอบครองแทนโจทก์ จำเลยที่ ๒ ย่อมไม่ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ยกฟ้องแย้ง ให้จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินของโจทก์ห้ามเกี่ยวข้องต่อไป และส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.

Share