แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บุกรุกเข้าครอบครองที่ดินพิพาทในเขตป่าสงวนแห่งชาติแล้วจ้าง จำเลยที่ 1 ปลูกข้าวโพด มีจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นบริวารช่วยเหลือจำเลยที่ 1 การยึดถือที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการยึดถือแทนโจทก์ โจทก์ย่อมเป็นผู้ครอบครองมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลย โจทก์มีอำนาจฟ้อง ปัญหาอำนาจฟ้อง เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความไม่ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยได้.
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2532)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างทำไร่ในที่ดินพิพาทในเขตป่าสงวนแห่งชาติของโจทก์ มีจำเลยที่ + ที่ ๓ เป็นผู้ช่วยเหลือ จำเลยทั้งสามได้ไปยื่นคำร้องขอสิทธิทำกินในที่ดินดังกล่าวต่อทางราชการเป็นการละเมิดโจทก์ ขอให้จำเลยถอนคำร้องดังกล่าวและห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่เคยเป็นลูกจ้างโจทก์จำเลยที่ ๑ รับโอนที่ดินพิพาทมาจากผู้อื่น การที่จำเลยไปขอสิทธิทำกินในที่ดินพิพาทจึงกระทำได้โดยชอบ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยถอนคำร้องขอสิทธิทำกินที่ยื่นไว้ต่อเจ้าพนักงานโครงการช่วยเหลือราษฎรให้มีสิทธิทำกินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และให้จำเลยกับบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์อย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกาอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทั้งสามบุกรุกเข้าครอบครองที่ดินพิพาทในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ได้จ้างจำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างปลูกข้าวโพด มีจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นบริวารช่วยเหลือ แล้ววินิจฉัยว่า การยึดถือที่ดินพิพาทของจำเลยที่ ๑ เป็นการยึดถือแทนโจทก์ทั้งสาม จำเลยทั้งสามหาใช่ผู้ครอบครองทำกินในที่ดินพิพาทไม่ โจทก์ย่อมเป็นผู้ครอบครองมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลยและมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสาม ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความไม่ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยได้ฎีกาจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.