คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2026/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยได้นำอาวุธปืนของกลางไปขอจดทะเบียนไว้แล้วภายในกำหนดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2518 การที่นายทะเบียนมอบคืนอาวุธปืนให้จำเลยเก็บรักษาไว้ก่อนจนกว่าจะออกใบอนุญาตให้นั้น จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษ ก็ต้องถือว่าจำเลยเก็บรักษาอาวุธปืนนั้นไว้แทนนายทะเบียน จำเลยไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืนกระบอกนั้นไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับใบอนุญาต จากนายทะเบียนท้องที่อีก
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีอาวุธปืนพกขนาด .22 และกระสุน .22 จำนวน 7 นัดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ แม้จำเลยจะยื่นคำให้การับสารภาพเฉพาะอาวุธปืนเท่านั้นก็ตาม แต่ก็ปรากฎตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลในวันเดียวกันนั้นว่า “จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง โจทก์จำเลยแถลงไม่สืบพยานคดีเสร็จการพิจารณา” แสดงว่าศาลจดรายงานกระบวนพิจารณานี้หลังจากที่จำเลยยื่นคำให้การดังกล่าวแล้ว ถือได้ว่าจำเลยให้การใหม่รับสารภาพตามฟ้องของโจทก์ จำเลยต้องมีความผิดฐานมีกระสุนปืน 7 นัดนี้ไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ดังที่โจทก์ฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๑๙ เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยบังอาจมีอาวุธปืนพกขนาด .๒๒ ทำในประเทศไทย ๑ กระบอก หมายเลขทะเบียน นศ.๓/๔๗๑๙ ซึ่งจำเลยนำมาขอจดทะเบียนไว้แล้ว แต่ทางราชการยังไม่ได้ออกใบอนุญาตให้มีและให้ใช้ตามกฎหมาย และมีกระสุน .๒๒ จำนวน ๗ นัดซึ่งอาวุธปืนและกระสุนดังกล่าวใช้ยิงได้ ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่และตามเวลาดังกล่าวจำเลยบังอาจพกพาอาวุธปืนกับกระสุนปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ.๒๔๙๐ มาตรา ๗,๗๒ พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ.๒๕๑๗ มาตรา ๓ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒,๙๑,๓๗๑ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๒ ขอให้ริบของกลาง
จำเลยให้การว่า มีปืนพกไว้ในครอบครองและถูกจับขณะพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะจริง อาวุธปืนดังกล่าวต่อมาทางราชการออกใบอนุญาตให้มีและใช้ตามใบอนุญาตท้ายคำให้การเจ้าหน้าที่มอบอาวุธปืนดังกล่าวให้จำเลยโดยปฏิบัติตามสำเนาหนังสือกระทรวงมหาดไทย ที่ มท.๐๕๑๕/ว.๖๐๑ ท้ายคำให้การ จำเลยพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยนำติดรถยนต์ของจำเลยไปไม่สมควรริบ
โจทก์จำเลยต่างแถลงไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยมีอาวุธปืนของกลางซึ่งนำไปขอจดทะเบียนไว้แล้ว แต่ทางราชการยังไม่ได้ออกใบอนุญาตให้มีและให้ใช้โดยถูกต้องตามกฎหมาย และมีกระสุนปืนขนาด .๒๒ จำนวน ๗ นัด ซึ่งอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวใช้ยิงได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ กับจำเลยพกพาอาวุธปืนและกระสุนปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ จำคุก ๒ ปี ปรับ ๒,๐๐๐ บาท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๑ (ที่ถูกมาตรา ๓๗๑) ปรับ ๑๐๐ บาท รวมเป็นจำคุก ๒ ปี ปรับ ๒,๑๐๐ บาท จำเลยให้การรับสารภาพ ลดกึ่ง คงจำคุก ๑ ปี ปรับ ๑,๐๕๐ บาท โทษจำคุกให้รอไว้ ๒ ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙,๓๐ ริบอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์ว่าไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ และไม่ควรริบอาวุธปืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๑
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ ๖) พ.ศ.๒๕๑๘ ซึ่งใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๑๘ บัญญัติไว้ในมาตรา ๓ ยกเว้นโทษให้สำหรับผู้มีอาวุธปืนที่ทำในราชอาณาจักรซึ่งยังไม่ได้รับอนุญาต นำมาขอรับอนุญาตต่อนายทะเบียนท้องที่ภายใน ๙๐ วันนับแต่วันที่กฎหมายดังกล่าวใช้บังคับเมื่อจำเลยนำอาวุธปืนของกลางมาขอรับอนุญาตตามกฎหมายดังกล่าวแล้ว แม้จำเลยถูกจับเมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๑๙ ก่อนเจ้าหน้าที่ออกใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนจำเลยก็ไม่ต้องรับโทษตามกฎหมายดังกล่าว ส่วนข้อหามีกระสุนปืน ๗ นัดโดยไม่รับอนุญาตนั้น จำเลยไม่ได้ให้การรับสารภาพไว้ด้วย เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน จึงฟังว่าจำเลยมีเครื่องกระสุนปืนอันเป็นความผิดตามฟ้องไม่ได้ พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะข้อหาฐานมีอาวุธปืนและกระสุนปืนไม่รับอนุญาต ส่วนอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางคืนจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยและริบอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังได้ตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยได้นำอาวุธปืนของกลางไปขออนุญาตมีและใช้ตั้งแต่วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๘ เพื่อปฏิบัติการให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ ๖) พ.ศ.๒๕๑๘ มาตรา ๓ ซึ่งใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๑๘ อันอยู่ในระยะเวลาที่กฎหมายดังกล่าวเปิดโอกาสให้จำเลยขออนุญาตได้ ต่อมาวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๑๙ จำเลยนำอาวุธปืนของกลางพร้อมกระสุนปืนขนาด .๒๒ พกพาไปในทางสาธารณะและถูกเจ้าพนักงานจับก่อนที่เจ้าหน้าที่ออกใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน ดังนี้ เฉพาะอาวุธปืนขนาด .๒๒ หมายเลขทะเบียน นศ.๓/๔๗๑๙ นั้น จำเลยได้นำไปขอจดทะเบียนไว้แล้วภายในกำหนดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ ๖) พ.ศ.๒๕๑๘ จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษ การที่นายทะเบียนผู้รับขึ้นทะเบียนมอบคืนอาวุธปืนให้จำเลยเก็บรักษาไว้ก่อนจนกว่าจะออกใบอนุญาตให้นั้น ก็ต้องถือว่าจำเลยเก็บรักษาอาวุธปืนนั้นไว้แทนนายทะเบียน จำเลยจึงหามีความผิดฐานมีอาวุธปืนกระบอกนั้นไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่อีกไม่
ส่วนกระสุนปืน ๗ นัดที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องนั้น แม้จำเลยจะยื่นคำให้การรับสารภาพเฉพาะอาวุธปืนเท่านั้นก็ตาม แต่ก็ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลในวันเดียวกันนั้นว่า “จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง โจทก์จำเลยแถลงไม่สืบพยาน คดีเสร็จการพิจารณา” จึงแสดงว่าศาลจดรายงานกระบวนพิจารณานี้หลังจากที่จำเลยยื่นคำให้การดังกล่าวข้างต้นนั้นแล้ว ถือได้ว่าจำเลยให้การใหม่รับสารภาพตามฟ้องของโจทก์ จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานมีกระสุนปืน ๗ นัดนี้ไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ดังที่โจทก์ฟ้อง
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ.๒๔๙๐ มาตรา ๗,๗๒ พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ.๒๕๑๗ มาตรา ๓ ให้ปรับ ๒๐๐ บาท จำเลยรับสารภาพเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงปรับ ๑๐๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙,๓๐ กระสุนปืน ๗ นัดของกลางให้ริบ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share