แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงินค่าเช่าบ้านที่จำเลยเบิกไปโดยไม่มีสิทธิเบิกได้ จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินฟ้องเรียกทรัพย์สินที่จำเลยได้เบิกไปโดยมิชอบซึ่งโจทก์ในฐานะเจ้าของทรัพย์สินย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความ กรณีมิใช่ฟ้องเรียกให้คืนทรัพย์ตามลักษณะลาภมิควรได้ จึงนำอายุความตามมาตรา 419 มาใช้บังคับไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคล โดยเป็นกรมในรัฐบาล สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จำเลยเป็นข้าราชการครู ตำแหน่งอาจารย์ 2 โรงเรียนเกาะแต้วพิทยาสรรค์ สังกัดกรมโจทก์ จำเลยได้เบิกและรับเงินค่าเช่าบ้านข้าราชการไปจากโจทก์โดยไม่มีสิทธิตามพระราชกฤษฎีกา ค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ.2527 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2530 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2541 รวมจำนวน 304,800 บาท โจทก์แจ้งให้จำเลยคืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ จำเลยทำหนังสือขอผ่อนชำระเงินเดือนละ 5,000 บาท เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2543 แต่จำเลยเพิกเฉยไม่ชำระ จำเลยต้องคืนค่าเช่าบ้านที่เบิกไปโดยไม่มีสิทธิจำนวน 304,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2541 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยรับเงินค่าเช่าบ้านไปครั้งสุดท้ายจนถึงวันฟ้อง 95,250 บาท รวมเป็นเงิน 400,050 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 400,050 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 304,800 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบมีลักษณะเป็นลาภมิควรได้ โจทก์ใช้สิทธิทวงถามให้จำเลยคืนเงินตามฟ้องมาตั้งแต่ปี 2541 โจทก์เพิ่งฟ้องจำเลยในปี 2546 พ้นเวลา 1 ปี ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 400,500 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 304,800 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความรวม 5,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจิฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 และคู่ความไม่ได้โต้แย้งกันฟังได้ว่า ขณะจำเลยยื่นแบบขอรับเงินค่าเช่าบ้านนั้น จำเลยมีเคหสถานของตนเองอยู่แล้วไม่มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านได้ ตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ.2527 มาตรา 7 (2) จำเลยจึงไม่มีสิทธินำหลักฐานการชำระหนี้เงินกู้ยืมจากธนาคารกรุงเทพ จำเลย (มหาชน) มาเบิกค่าเช่าบ้านตามมาตรา 16 วรรคแรก โจทก์ทราบว่าจำเลยเบิกเงินค่าเช่าบ้านโดยไม่มีสิทธิและให้สำนักงานสามัญศึกษาจังหวัดสงขลา หน่วยงานในสังกัดโจทก์เรียกค่าเช่าบ้านที่จำเลยเบิกไปทั้งหมดคืนโจทก์ตามหนังสือที่ ศธ 0811/1077 ลงวันที่ 26 มกราคม 2542 เอกสารหมาย จ.6 จำเลยทำหนังสือขอผ่อนชำระเงินเดือนละ 5,000 บาทเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2543 ตามเอกสารหมาย จ.6 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงินค่าเช่าบ้านที่จำเลยเบิกไปโดยไม่มีสิทธิเบิกได้ จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินฟ้องเรียกทรัพย์สินที่จำเลยได้เบิกไปโดยมิชอบซึ่งโจทก์ในฐานะเจ้าของทรัพย์สินย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความ กรณีมิใช่ฟ้องเรียกให้คืนทรัพย์ตามลักษณะลาภมิควรได้ ฉะนั้น จึงนำอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 มาใช้บังคับในกรณีนี้ไม่ได้ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยอ้างมานั้นมีข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาให้จำเลยชำระเงินคืนแก่โจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 400,500 บาท แก่โจทก์นั้นไม่ถูกต้องและเกินไปกว่าคำฟ้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 400,500 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ