คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3304/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบในการปกครองท้องที่ตามความแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 97 ดำรงอยู่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานผู้ทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนมีอำนาจอนุญาตให้มูลนิธิที่ได้รับอนุญาตแล้วจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตลอดจนมีอำนาจออกกฎกระทรวงและดูแลมูลนิธิทั้งหลายให้ปฏิบัติตามกฎหมายและตราสารจัดตั้งมูลนิธินั้น ๆ แต่หาได้มีส่วนได้เสียโดยตรงกับมูลนิธิไม่ จึงมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียตามมาตรา 93 ไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งเลิกมูลนิธิ
การที่มูลนิธิผู้คัดค้านที่ 1 ร่วมกันกับพวกทำหนังสือกราบบังคมทูลให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ และทรงรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นการอาจเอื้อมไม่บังควรอย่างยิ่งและเป็นที่ระคายเคืองต่อเบื้อง ยุคลบาท น่าจะเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอันอาจจะมีผลทำให้ประชาชนที่รู้ข้อความในหนังสือดังกล่าวเดินขบวนในแง่ไม่เห็นด้วย จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งพนักงานอัยการชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้เลิกมูลนิธิได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 93 (1) สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติโดยเลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ มีอำนาจของสภาวัฒนธรรมแห่งชาติตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2485 มาตรา 14 จึงย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนการอนุญาตที่ให้แก่สมาคมหรือองค์กร ใดซึ่งรวมถึงมูลนิธิด้วยได้

ย่อยาว

คดีนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้ร้องที่ ๑ และพนักงานอัยการผู้ร้องที่ ๒ ร่วมกันยื่นคำร้องว่า มูลนิธิชินนะปูโตอนุสรณ์ ผู้คัดค้านที่ ๑ ร่วมกับสมาคมศาสนาสัมพันธกระทำการอันเป็นการขัดต่อกฎหมายและขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนและมูลนิธิดังกล่าวถูกเพิกถอนใบอนุญาตจัดตั้งมูลนิธิ ซึ่งมีผลทำให้มูลนิธิสิ้นสุดลงไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งเลิกมูลนิธิชินนะปูโตอนุสรณ์ และสั่งตั้งผู้ชำระบัญชี และสั่งให้ทรัพย์สินของมูลนิธิทั้งหมดตกเป็นของแผ่นดิน
ผู้คัดค้านทั้งหกยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ ๑ เป็นมูลนิธิซึ่งจัดตั้งขึ้นเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย มีผู้คัดค้านที่ ๒ ถึงที่ ๖ เป็นกรรมการบริหาร ผู้ร้องทั้งสองไม่มีสิทธิยื่นคำร้องให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกมูลนิธิและแต่งตั้งผู้ชำระบัญชี เพราะคำสั่งของสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติที่เพิกถอนใบอนุญาตจัดตั้งมูลนิธิผู้คัดค้านที่ ๑ ไม่มีผลบังคับ และผู้คัดค้านที่ ๑ มิได้กระทำการอันขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เลิกมูลนิธิชินนะปูโตอนุสรณ์ ทรัพย์สินทั้งหมดให้ตกเป็นของแผ่นดิน โดยผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรีกับนายอำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี ร่วมกันเป็นผู้ชำระบัญชี
ผู้คัดค้านทั้งหกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านทั้งหกฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาข้อแรกที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านว่า ผู้ร้องทั้งสองมีอำนาจยื่นคำร้องขอเป็นคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า กรณีสำหรับผู้ร้องที่ ๑ นั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๓ บัญญัติให้พนักงานอัยการหรือผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งมีส่วนได้เสียด้วยยื่นคำร้องต่อศาล ศาลจะมีคำสั่งให้เลิกมูลนิธินั้นเสีย และแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีคนหนึ่งหรือหลายคนในกรณีอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในอนุมาตรา (๑) ถึงอนุมาตรา (๓) ก็ได้ และมาตรา ๙๗ บัญญัติให้รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบในการปกครองท้องที่เป็นผู้มีอำนาจออกกฎกระทรวงเกี่ยวกับการให้อำนาจการจดทะเบียนและการดูแลตรวจตรามูลนิธิให้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยมูลนิธิรวมตลอดถึงการจัดการให้มีรายนามมูลนิธิทั้งหลายอันได้ให้อำนาจแล้ว รักษาไว้พร้อมทั้งรายการข้อสำคัญอันได้โฆษณาในราชกิจจานุเบกษา ดังนี้ เห็นว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ดำรงอยู่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานผู้ทำหน้าที่เป็นนายทะเบียน โดยมีอำนาจอนุญาตให้มูลนิธิที่ได้รับอนุญาตแล้วจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ตลอดจนมีอำนาจออกกฎกระทรวงและดูแลมูลนิธิทั้งหลายให้ปฏิบัติตามกฎหมายและตราสารจัดตั้งมูลนิธินั้น ๆ หาได้มีส่วนได้เสียโดยตรงกับมูลนิธิไม่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียตามมาตรา ๙๓ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเลิกมูลนิธิ ส่วนผู้ร้องที่ ๒ ซึ่งเป็นพนักงานอัยการนั้นบทบัญญัติมาตรา ๙๓ ดังกล่าวข้างต้นได้บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งว่ามีอำนาจยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งเลิกมูลนิธิได้ผู้ร้องที่ ๒ จึงมีอำนาจยื่นคำร้องขอเป็นคดีนี้
ปัญหาตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ว่า มีเหตุที่ศาลจะมีคำสั่งให้เลิกมูลนิธิหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า มูลนิธิผู้คัดค้านที่ ๑ กับสมาคมศาสนาสัมพันธ์ และสำนักหุบผาสวรรค์กระทำกิจการต่าง ๆ ร่วมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าสมาคมศาสนาสัมพันธ์และมูลนิธิผู้คัดค้านที่ ๑ ร่วมรู้เห็นเป็นใจด้วยในการทำขึ้นซึ่งเอกสารหมาย ร.๑ และวินิจฉัยว่าข้อความในเอกสารหมาย ร.๑ ที่กราบบังคมทูลให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติและทรงรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นข้อความที่อาจเอื้อมไม่บังควรอย่างยิ่งและเป็นข้อความที่ระคายเคืองต่อเบื้องพระยุคลบาท เพราะตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ข้อความในเอกสารหมาย ร.๑ นี้น่าจะเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหากรู้ไปถึงประชาชนแล้วคงทำให้ประชาชนไม่พอใจเป็นอย่างมาก และอาจมีการเดินขบวนในแง่ที่ไม่เห็นด้วย การทำเอกสารหมาย ร.๑ จึงถือได้ว่าเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งพนักงานอัยการผู้ร้องที่ ๓ ชอบที่จะยื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีคำสั่งเลิกมูลนิธิผู้คัดค้านที่ ๑ ได้ตามมาตรา ๙๓ (๑) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฎีกาของผู้คัดค้านในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับปัญหาที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติไม่มีอำนาจเพิกถอนใบอนุญาตจัดตั้งมูลนิธิผู้คัดค้านที่ ๑ตามคำสั่งสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติที่ ๕๒๑/๒๕๒๔ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๒๔ ตามเอกสารหมาย ร.๑๔ ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้อต่อศาลขอให้สั่งเลิกมูลนิธิผู้คัดค้านที่ ๑ นั้น ปัญหาข้อนี้เป็นอันยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ซึ่งผู้คัดค้านมิได้ฎีกาโต้เถียงเป็นอย่างอื่นว่า สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติมีอำนาจและหน้าที่ของสภาวัฒนธรรมแห่งชาติตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๔๘๕ มาตรา ๑๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๘๖ มาตรา ๕ ศาลฎีกาเห็นว่า สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติโดยเลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนการอนุญาตที่ให้ไว้แก่สมาคมหรือองค์การใด และสมาคมหรือองค์การเช่นว่านั้นจักต้องเลิก และหยุดดำเนินการทันที ตามความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๔๘๕ ที่แก้ไขแล้ว และคำว่าองค์การย่อมหมายความรวมถึงมูลนิธิด้วย คำสั่งของสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ที่ ๕๒๑/๒๕๒๔ ตามเอกสารหมาย ร.๑๔ ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๔ ดังกล่าวแล้ว จึงชอบด้วยกฎหมายฎีกาของผู้คัดค้านในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องขอของผู้ร้องที่ ๑ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share