คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2957/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ ทั้งไม่มีพยานบุคคลมาเบิกความว่าเห็นจำเลยในวันเกิดเหตุเลย แต่โจทก์มีคำให้การชั้นสอบสวนของบุตรผู้ตายและภริยาของจำเลยเป็นพยานแม้คำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวเป็นพยานบอกเล่าจะรับฟังดังคำเบิกความของพยานในชั้นพิจารณาไม่ได้ แต่ศาลอาจรับฟังว่าบุคคลทั้งสองเคยให้การไว้เช่นนั้นต่อพนักงานสอบสวนเพื่อพิเคราะห์สอดส่องถึงข้อเท็จจริงในคดีได้ เมื่อไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนจดบันทึกคำให้การโดยไม่ถูกต้องแต่อย่างใด จึงฟังได้ว่าบุคคลทั้งสองให้การไว้เช่นนั้นจริง และคำให้การของผู้รู้เห็นเหตุการณ์ในชั้นสอบสวนไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้รับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่น ดังนี้ ศาลรับฟังคำให้การชั้นสอบสวนของพยานดังกล่าวประกอบพยานหลักฐานอื่นและพฤติการณ์แห่งคดีลงโทษจำเลยตามฟ้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายพรม คูแพทย์ หรือครูแพทย์ผู้ตาย ๑ นัด โดยเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกผู้ตายถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ให้จำคุก ๒๐ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง แต่สาเหตุที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเกิดจากจำเลยและผู้ตายวิวาทและต่อสู้กัน จำเลยก็ถูกผู้ตายทำร้ายด้วย สมควรลงโทษจำเลยให้เบาลงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยไว้ ๑๕ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความถึงเหตุการณ์ตอนเกิดเหตุ ทั้งไม่มีพยานบุคคลมาเบิกความว่าเห็นจำเลยในวันเกิดเหตุเลยไม่ว่าในเวลาใด โจทก์มีคำให้การชั้นสอบสวนของนางโสภา ครูแพทย์ บุตรผู้ตายและนางแช่ม ขำค้างพลู ภริยาจำเลยมาแสดง โดยนางโสภาให้การว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตายซึ่งเป็นญาติห่าง ๆ กันไปดื่มสุราที่บ้านนางชื่นตั้งแต่เวลา ๑๖ นาฬิกาเศษ ครั้นเวลา ๑๙ นาฬิกาเศษ ผู้ตายวิ่งไล่จำเลยผ่านหน้าบ้านนางโสภา ผู้ตายร้องตะโกนว่า “กูจะตอกกับไอ้เตี้ย (จำเลย)”จำเลยร้องบอกนางแช่มให้เอาปืนมา ได้ยินเสียงคนกอดปล้ำกันที่ข้างบันไดบ้านจำเลย จากนั้นได้ยินเสียงปืนดังขึ้น ๑ นัด นางโสภาทราบในภายหลังว่า ขณะที่ดื่มสุรากันที่บ้านนางชื่น ผู้ตายต่อว่าจำเลยเรื่องจำเลยชอบยิงปืน จึงเกิดโต้เถียงกันแล้ววิ่งไล่ทำร้ายกันปรากฏตามคำให้การชั้นสอบสวนของนางโสภา ครูแพทย์ เอกสารหมาย จ.๑นางแช่มให้การว่า คืนเกิดเหตุเวลา ๑๙ นาฬิกาเศษ ขณะนางแช่มนอนอยู่บนบ้านได้ยินเสียงปืนดัง ๑ นัด ทางหน้าบ้าน นางแช่มไม่ได้ออกไปดู ต่อมาจำเลยเข้ามาในห้องนอน ที่ปากมีเลือดไหล มือขวาถือปืนลูกซองพก จำเลยเก็บเสื้อผ้าและสั่งให้ดูแลลูกแล้วหลบหนีไปในคืนนั้นปรากฏตามคำให้การชั้นสอบสวนของนางแช่ม ขำค้างพลูเอกสารหมาย จ.๒ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้คำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวเป็นพยานบอกเล่า จะรับฟังดังคำเบิกความของพยานในชั้นพิจารณาไม่ได้แต่ศาลก็อาจรับฟังว่าบุคคลทั้งสองเคยให้การไว้เช่นนั้นต่อพนักงานสอบสวนเพื่อพิเคราะห์สอดส่องถึงข้อเท็จจริงในคดีได้ทั้งคดีนี้ไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนจดบันทึกคำให้การของบุคคลทั้งสองไว้โดยไม่ถูกต้องแต่อย่างใด จึงฟังได้ว่าบุคคลทั้งสองให้การต่อพนักงานสอบสวนไว้เช่นนั้นจริง และคำให้การของผู้รู้เห็นเหตุการณ์ในชั้นสอบสวนไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้รับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่น นางโสภาไม่เคยมีอริสาเหตุกับจำเลย นางแช่มเป็นภริยาจำเลย ทั้งสองคนต่างให้การต่อพนักงานสอบสวนหลังจากเกิดเหตเพียง ๔ วัน ซึ่งในขณะนั้นจำเลยยังหลบหนีอยู่ การวิวาทที่เป็นเหตุให้ผู้ตายถูกยิงนอกจากจำเลยกับผู้ตายซึ่งเป็นคู่วิวาทแล้วไม่มีบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลย จำเลยหลบหนีไปตั้งแต่คืนเกิดเหตุจนเป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนออกหมายจับและจับกุมจำเลยได้หลังจากเกิดเหตุประมาณ ๔ ปีครึ่ง เมื่อนำคำให้การชั้นสอบสวนของนางโสภาและนางแช่มมาฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นและพฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวแล้ว คดีฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง แต่ศาลฎีกาเห็นว่าข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ เห็นสมควรลดโทษให้จำเลย
พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลย ๑๐ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share