คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4427/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ส. พี่สาวโจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 1ในคดีก่อนแบ่งที่ดินส่วนของ ส. ออกเป็น 3 ส่วนเท่ากันโจทก์ทั้งสองได้คนละหนึ่งส่วน โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่นั้นมาและมีสิทธิติดตามเอาที่ดินพิพาทของตนคืนจากจำเลยที่ 1ได้ เมื่อจำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 และจำเลยที่ 2 และที่ 3 เข้าครอบครองที่ดินพิพาทอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้ที่ดินพิพาทมาขณะยังเป็นผู้เยาว์ และอาศัยอยู่กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นอา ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์เมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1และครอบครองต่อมาย่อมได้สิทธิไปเพียงเท่าที่ผู้โอนมีอยู่คือเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์จะถือว่าแย่งการครอบครองไม่ได้แม้ยึดถือนานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินแทนโจทก์ในขณะโจทก์เป็นผู้เยาว์ ต่อมาจำเลยที่ 1 สมคบกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 โอนที่ดินพิพาทไปเป็นของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ขอให้เพิกถอนการโอน หรือใช้ราคาที่ดิน จำเลยทั้งสามให้การว่าที่ดินตามฟ้องคนละแปลงกันจำเลยซื้อขายที่ดินพิพาทโดยสุจริตและจำเลยที่ 2 ที่ 3 ครอบครองเกิน1 ปีแล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการโอน ถ้าโอนไม่ได้ให้ใช้ราคาศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ในปัญหาว่าที่ดินพิพาทคดีนี้และที่ดินที่นางเสน่ห์พี่สาวโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันนั้นเป็นที่ดินแปลงเดียวกันหรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 148/2517 ข้อ 2ได้ความว่า นางเสน่ห์ยอมแบ่งที่ดินที่ตนได้ตามส่วนทั้งหมดมารวมกันในที่ดินแปลง ส.ค.1 เนื้อที่ 8 ไร่ 2 งาน ซึ่งเป็นไร่อ้อยส่วนของนางเสน่ห์แบ่งออกเป็น 3 ส่วน นางเสน่ห์ ได้ 1 ส่วนโจทก์ทั้งสองในคดีนี้ได้คนละ 1 ส่วน โดยนางเสน่ห์ได้ส่วนทางทิศตะวันตกของที่ดินแปลงนี้ จึงเห็นว่าที่ดินที่โจทก์ทั้งสองได้นี้เป็นที่ดินที่ทำเป็นไร่อ้อย โจทก์ทั้งสองมีนางเสน่ห์และนายเพลิน พูลสวัสดิ์ ซึ่งเป็นญาติกับโจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1ต่างเบิกความเป็นพยานว่าที่ดินพิพาทเป็นไร่อ้อย นอกจากนี้โจทก์ทั้งสองยังมีนายพงษ์เทพ ชูกำเนิด รับราชการอยู่ที่สำนักงานที่ดินอำเภอเดิมบางนางบวช มีหน้าที่เกี่ยวกับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและออกรังวัดแนวเขตที่ดินเบิกความเป็นพยานโจทก์ยืนยันว่า น.ส.3 ตามเอกสารหมาย จ.2 ออกมาจาก ส.ค.1 เลขที่ 95ที่ดินที่มี ส.ค.1 เมื่อออกเป็น น.ส.3 แล้ว เขตที่ดินอาจจะเปลี่ยนไปจากเดิมเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพที่ดินและเปลี่ยนแปลงเจ้าของที่ดินข้างเคียงและในบางกรณีตำบลและหมู่ที่ที่ตั้งของที่ดินอาจจะผิดแปลกไปจากที่ปรากฏใน ส.ค.1 เดิมบ้าง เนื้อที่ดินก็อาจจะมากหรือน้อยไปบ้างก็ได้เนื่องจากการออก ส.ค.1 นั้นเป็นการกะประมาณเนื้อที่เอาเอง ไม่มีการรังวัดที่แน่นอนเหมือนการออก น.ส.3ส่วนจำเลยที่ 1 มีแต่นายกรุ่น สามีของจำเลยที่ 1 เบิกความเป็นพยานแต่ผู้เดียวว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินตาม ส.ค.1 เพราะตามฟ้องในคดีก่อนกับคดีนี้ระบุเขตที่ดินข้างเคียงแตกต่างกันเท่านั้น พยานหลักฐานอื่นของจำเลยทั้งสาม นอกจากนี้ไม่มีอีก ดังนั้นพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ยิ่งกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสาม ข้อเท็จจริงเชื่อว่าที่ดินพิพาทได้ออก น.ส.3 มาจากที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 95หาใช่คนละแปลงไม่ เมื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีก่อนนางเสน่ห์ได้ตกลงกับจำเลยที่ 1 แบ่งที่ดินส่วนของนางเสน่ห์ออกเป็น 3 ส่วนเท่ากัน โจทก์ทั้งสองได้คนละหนึ่งส่วนและนางเสน่ห์ได้ขายที่ดินส่วนของตนไปแล้ว ฉะนั้นโจทก์ทั้งสองย่อมได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่นั้นมา และมีอำนาจติดตามเอาที่ดินพิพาทของตนคืนจากจำเลยที่ 1 ได้ เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1นำไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้ว โอนขายให้แก่จำเลยที่ 2และที่ 3 โจทก์ทั้งสองย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3เอาสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทคืนมาได้ จำเลยทั้งสามจะมาโต้เถียงว่าสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีก่อนใช้บังคับไม่ได้หาได้ไม่ และไม่มีความจำเป็นอันใดที่โจทก์ทั้งสองจะต้องไปร้องขอให้มีการบังคับคดีในคดีก่อนเสียก่อนดังที่จำเลยทั้งสามฎีกาเพราะเมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 เข้าครอบครองที่ดินพิพาทอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสองแล้ว โจทก์ทั้งสองย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกเอาสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทคืนมาเป็นคดีนี้ได้ โจทก์ทั้งสองได้ที่ดินพิพาทมาขณะที่ยังเป็นผู้เยาว์และอาศัยอยู่กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นอา จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ทั้งสามเมื่อจำเลยที่ 2และที่ 3 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 และครอบครองต่อมาย่อมได้สิทธิไปเพียงเท่าที่ผู้โอนมีอยู่คือเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ทั้งสอง จะถือว่าแย่งการครอบครองไม่ได้ แม้ยึดถือนานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่อาจยกอายุความการฟ้องร้องเรียกสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทภายในกำหนด 1 ปีขึ้นยันโจทก์ทั้งสองได้ ฎีกาทุกข้อของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share