แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามสัญญากู้ยืมแก่โจทก์ จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า สัญญากู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยตกเป็นโมฆะ เนื่องจากจำเลยทำสัญญากู้ยืมกับโจทก์โดยสำคัญผิดว่าโจทก์เป็นผู้แทนเจ้าหนี้รายหนึ่งของบริษัท ส. ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลย แท้จริงแล้วโจทก์ไม่ใช้ผู้แทนเจ้าหนี้ดังกล่าว และฟ้องแย้งขอให้โจทก์คืนเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายให้โจทก์ตามสัญญากู้ยืมดังกล่าวแก่จำเลย อันเป็นการกล่าวอ้างว่าสัญญากู้ยืมไม่มีผลผูกพันเพราะจำเลยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม หากเป็นความจริงดังที่จำเลยต่อสู้ โจทก์จะฟ้องบังคับให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์มิได้และต้องคืนเช็คให้แก่จำเลย ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาพิพากษารวมกันได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์จำนวน ๒,๖๐๐,๐๐๐ บาท หลังจากกู้ยืมเงินไปแล้วจำเลยไม่ชำระหนี้ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน ๓,๐๒๒,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๒,๖๐๐,๐๐๐ บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ เหตุที่จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินเนื่องจากโจทก์ปกปิดความจริงโดยแอบอ้างว่า โจทก์เป็นผู้แทนเจ้าหนี้รายหนึ่งของบริษัทสตาร์เล็ตพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งจำเลยเคยทำสัญญากู้ยืมเงินจากเจ้าหนี้ดังกล่าวแทนบริษัทสตาร์เล็ตพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด จำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นเหตุให้จำเลยหลงเชื่อยอมทำสัญญากู้ยืมเงินใหม่ตามฟ้อง โดยยกเลิกสัญญากู้ยืมเงินจำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาทเสีย และสั่งจ่ายเช็คให้แก่โจทก์ ๔ ฉบับ ฉบับละ ๖๕๐,๐๐๐ บาท ทั้งที่โจทก์มิได้เป็นผู้แทนของเจ้าหนี้ดังกล่าว อันเป็นการแสดงเจตนาด้วยความสำคัญผิดในตัวบุคคล ซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมสัญญากู้ยืมเงินตกเป็นโมฆะ ไม่มีลูกหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินและเช็คทั้งสี่ฉบับ ขอให้พิพากษาว่าสัญญากู้ยืมเงิน ระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ ให้โจทก์ส่งมอบเช็คทั้ง ๔ ฉบับ คืนแก่จำเลย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การ ส่วนฟ้องแย้งไม่เกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิมจึงไม่รับฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับฟ้องแย้ง
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาพิพากษารวมกันได้นั้น เห็นว่า จำเลยให้การต่อสู้ว่า สัญญากู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยตกเป็นโมฆะ เนื่องจากจำเลยสำคัญผิดว่าโจทก์เป็นผู้แทนเจ้าหนี้รายหนึ่งของบริษัทสตาร์เล็ตพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยแต่แท้จริงแล้วโจทก์ไม่ใช่ผู้แทนเจ้าหนี้ดังกล่าว อันเป็นการกล่าวอ้างว่าสัญญากู้ยืมไม่มีผลผูกพันคู่ความ เพราะจำเลยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม หากความจริงเป็นดังที่จำเลยต่อสู้โจทก์จะฟ้องบังคับให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์มิได้ และต้องคืนเช็คทั้ง ๔ ฉบับ ให้แก่จำเลยด้วย ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาพิพากษารวมกันได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๗ วรรคสาม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ เห็นพ้องด้วยกับศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องแย้ง ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้รับฟ้องแย้ง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ