คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 393/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ม.กระชากสร้อยคอขาดหลุดจากคอผู้เสียหาย ผู้เสียหายได้ใช้มือจับยึดสร้อยคอของตนไว้ก่อน ม.จึงแย่งเอาไปไม่ได้ แล้ว ม.วิ่งไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลย ซึ่งติดเครื่องจอดรถอยู่ตามแผนการที่ร่วมกันวางไว้และหลบหนีไป ดังนี้ แม้สร้อยคอจะอยู่ที่มือ ม.ตอนกระชาก ก็เป็นการกระทำในขั้นที่มุ่งหมายจะให้สร้อยขาดหลุดจากคอผู้เสียหายเท่านั้น ม.ยังไม่ทันยึดถือเอาไป การที่ ม.จะยึดถือเอาสร้อยไปยังไม่บรรลุผล จำเลยซึ่งร่วมกระทำความผิดด้วยจึงมีความผิดฐานพยายามวิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิด
เดิมจำเลยกับ ม.ถูกฟ้องเป็นสำนวนเดียวกันในข้อหาว่าร่วมกันวิ่งราวทรัพย์ ม.ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยให้การปฏิเสธ ศาลสั่งให้แยกฟ้องจำเลยแล้วพิพากษาลงโทษ ม. ในความผิดสำเร็จฐานวิ่งราวทรัพย์ ส่วนคดีหลังซึ่งจำเลยถูกฟ้องนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่าการกระทำของ ม.เป็นเพียงขั้นพยายามเท่านั้น ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำเลยซึ่งร่วมกระทำผิดด้วยฐานพยายามวิ่งราวทรัพย์ ดังนี้ ศาลพิพากษาชอบแล้ว เพราะในคดีที่ ม. เป็นจำเลยไม่มีข้อเท็จจริงปรากฏว่าการกระทำความผิดของ ม.เป็นเพียงขั้นพยายามกระทำผิด ศาลจึงต้องลงโทษ ม.ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากคำฟ้องและคำให้การรับสารภาพของจำเลยในคดีนั้นเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยนี้กับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๔/๒๕๑๔ ของศาลชั้นต้น ได้ร่วมกันลักสร้อยคอทองคำหนัก ๑ บาท ราคา ๑,๘๐๐ บาท ของนางประทีป จุติยนต์ ซึ่งสวมใส่ไว้ที่คอโดยฉกฉวยเอาไปซึ่งหน้า กับใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะเพื่อใช้ในการกระทำผิดและพาทรัพย์หนีไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๓, ๓๓๖, ๓๓๖ ทวิ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๓๓๖, ๓๓๖ ทวิ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๓ จำคุก ๕ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามวิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๓๓๖, ๓๓๖ ทวิ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๓ จำคุก ๓ ปี
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้เสียหายยืนอยู่ที่หน้าโรงภาพยนตร์นายมืดหรือบุญธรรม ชนะสัตย์ ไปเดินวนเวียนอยู่ข้างๆ ผู้เสียหายรู้สึกตัวจึงใช้มือจับสร้อยคอทองคำซึ่งสวมใส่อยู่ที่คอของตนไว้ นายมืดหรือบุญธรรมเข้าดึงเอาสร้อยคอ สร้อยคอจึงขาดติดมือผู้เสียหายอยู่ นายมืดหรือบุญธรรมเอาสร้อยคอไปไม่ได้ ผู้เสียหายร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น นายมืดหรือบุญธรรมวิ่งไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยซึ่งติดเครื่องจอดรถอยู่ริมถนนตรงกันข้ามกับโรงภาพยนตร์ จำเลยได้ขับรถพานายมืดหรือบุญธรรมหนีไปทันที เมื่อถูกฟ้องศาลนายมืดหรือบุญธรรมให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดตามฟ้องในข้อหาวิ่งราวทรัพย์ ส่วนจำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้แยกฟ้องจำเลย แล้วพิพากษาลงโทษนายมืดหรือบุญธรรม คดีถึงที่สุดแล้ว และโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การจะวินิจฉัยว่าจำเลยได้กระทำผิดสำเร็จฐานวิ่งราวทรัพย์หรือพยายามวิ่งราวทรัพย์ต้องอาศัยข้อเท็จจริงซึ่งได้ความจากการกระทำของนายมืดหรือบุญธรรมเป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ซึ่งก็ได้ความว่าเมื่อนายมืดหรือบุญธรรมกระชากสร้อยคอขาดหลุดจากคอผู้เสียหาย ผู้เสียหายได้ใช้มือจับยึดสร้อยคอของตนไว้ก่อน นายมืดหรือบุญธรรมแย่งเอาไปไม่ได้ แม้สร้อยคอจะอยู่ที่มือนายมืดหรือบุญธรรมตอนกระชาก ก็เป็นการกระทำในชั้นที่มุ่งหมายจะให้สร้อยขาดหลุดจากคอผู้เสียหายเท่านั้น นายมืดหรือบุญธรรมยังไม่ทันยึดถือเอาไป การที่นายมืดหรือบุญธรรมจะยึดถือเอาสร้อยไปยังไม่บรรลุผล จำเลยซึ่งร่วมกระทำความผิดด้วยจึงมีความผิดฐานพยายามวิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิด ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าศาลลงโทษจำเลยคนหนึ่งชั้นความผิดสำเร็จ แต่จะลงโทษจำเลยอีกคนหนึ่งที่ร่วมกระทำผิดด้วยชั้นพยายามกระทำผิดได้อย่างไร ควรลงโทษทำนองเดียวกันนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าในคดีที่นายมืดหรือบุญธรรมเป็นจำเลย ไม่มีข้อเท็จจริงปรากฏว่าการกระทำความผิดของนายมืดหรือบุญธรรมเป็นเพียงชั้นพยายามกระทำผิดเช่นคดีนี้ศาลจึงต้องลงโทษนายมืดหรือบุญธรรมตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากคำฟ้องของโจทก์และคำให้การรับสารภาพของจำเลยในคดีนั้นเท่านั้น
พิพากษายืน

Share