คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2582/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากัน แต่มิได้จดทะเบียนสมรสและได้ร่วมกันทำการค้าที่ดิน ป.ทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่จำเลยในระหว่างที่โจทก์จำเลยกำลังอยู่กินเป็นสามีภริยากัน ดังนี้เมื่อ ป.ผิดสัญญาสิทธิเรียกร้องในการจะฟ้องบังคับให้ ป.โอนขายที่ดินดังกล่าว โจทก์จำเลยย่อมมีสิทธิร่วมกันในฐานะที่เข้าหุ้นกันทำการค้าที่ดิน
โจทก์มีส่วนได้เสียร่วมอยู่กับจำเลยในการค้าที่ดิน โจทก์จึงออกเงินค่าธรรมเนียมให้จำเลยฟ้องให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์เพื่อแบ่งปันกันระหว่างโจทก์จำเลย ดังนี้เป็นการรักษาผลประโยชน์ของโจทก์ซึ่งชอบที่จะทำได้ หาขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ได้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยในที่ดินที่จำเลยฟ้อง ป.ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนซึ่งศาลพิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะและคดีถึงที่สุดแล้ว หรือให้จำเลยจัดซื้อและขายที่ดินดังกล่าวแล้วหักค่าใช้จ่ายเอาผลกำไรแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง ดังนี้มีความหมายเป็น 2 นัยคือ นัยแรกให้เอาผลประโยชน์จากการดำเนินคดีที่จำเลยฟ้อง ป.เกี่ยวกับการขอเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดิน นัยหลังมีความหมายว่าหากได้เงินประโยชน์สุทธิมาเท่าใด ก็ให้แบ่งให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าคดีที่จำเลยฟ้อง ป.นั้น จำเลยไม่ติดใจบังคับคดีจำเลยจึงไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ศาลจะพิพากษาให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินร่วมกับจำเลยไม่ได้ และจะให้โจทก์เข้าสวมสิทธิของจำเลยก็ไม่ได้ด้วยเป็นอันว่าจะบังคับให้ ป.ปฏิบัติตามคำพิพากษาในคดีที่จำเลยฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินไม่ได้ แต่ศาลก็ยังมีทางบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินตามคำขอของโจทก์นัยหลังได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๑ แต่มิได้จดทะเบียนสมรส ได้ร่วมกันทำการค้าที่ดิน เนื่องจากโจทก์อ่านเขียนหนังสือไม่ได้จึงให้จำเลยเป็นผู้ทำสัญญาจะซื้อที่ดินกับนางประเสริฐ เอกพจน์ หรือกลัญชัย ในปี พ.ศ.๒๕๐๑ ตามที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๗๗ เนื้อที่ ๙ ไร่ ๑ งาน ๖๐ ตารางวา ราคาไร่ละ ๓๐,๐๐๐ บาทเป็นเงิน ๒๘๒,๐๐๐ บาท นางประเสริฐผิดสัญญาจำเลยฟ้องนางประเสริฐให้โอนขายที่ดินให้ผลที่สุดจำเลยชนะคดีทั้ง ๓ ศาล ปรากฏตามคดีของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ ๕๕๑๔/๒๕๐๙ ในปี พ.ศ.๒๕๐๘ ระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าว นางประเสริฐได้โอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๗๗ ให้แก่พันตำรวจตรีกมล ชโนวรรณ พันตำรวจตรีกมลโอนขายต่อให้นายกำพล วัชรพล ขณะนั้นจำเลยได้ละทิ้งโจทก์แล้ว จำเลยไม่มีเงินเสียค่าธรรมเนียมและค่าจ้างทนายฟ้องนางประเสริฐกับพวกได้ขอให้โจทก์ช่วยติดต่อนายสมบัติ วัฒนาเป็นทนายฟ้องเพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๗๗ และขอให้โจทก์ออกค่าธรรมเนียมศาลให้ด้วยโดยจำเลยทำหนังสือมอบให้โจทก์ไว้มีใจความว่า ถ้าจำเลยได้ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๗๗ ซึ่งจะฟ้องนั้นมาแล้วจำเลยขายไปได้เงินเท่าไรหักเป็นค่าที่ดินที่จะต้องชำระแก่เจ้าของที่ดินและค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวม ๕๐๐,๐๐๐ บาทเสียก่อนเหลือเท่าไรจำเลยยินยอมแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากบิดพลิ้ว จำเลยยอมให้โจทก์อายัดที่ดินดังกล่าวได้และมีสิทธิร่วมกันด้วยโจทก์ตกลงจัดการให้จำเลยฟ้องนางประเสริฐกับพวกให้ เพิกถอนการโอน จนศาลแพ่งและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชนะคดี นางประเสริฐกับพวกฎีการะหว่างนั้นจำเลยยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ศาลฎีกายกคำร้อง ต่อมานางประเสริฐกับพวกยื่นคำร้องขอถอนฎีกา ศาลฎีกาสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดีเป็นอันว่าคดีถึงที่สุดชั้นศาลอุทธรณ์ได้ผลทางคดีให้เพิกถอนนิติกรรมการโอน ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๗๗ กลับคืนมาเป็นกรรมสิทธิ์ของนางประเสริฐ และจำเลยผู้ชนะคดีก็จะต้องได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจากนางประเสริฐจำเลยจะต้องแบ่งเงินค่าขายที่ดินให้โจทก์ครึ่ง หนึ่งหรือมีสิทธิในที่ดินร่วมกันตามหนังสือสัญญาท้ายฟ้อง ขณะฟ้องที่ดินราคาไร่ละ ๗๐๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งโฉนดเป็นเงิน ๖,๕๘๐,๐๐๐ บาท หักค่าที่ดินและค่าใช้จ่าย ๕๐๐,๐๐๐ บาท คงเหลือ ๖,๐๘๐,๐๐๐ บาท ต้องแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง จึงขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน ๓,๐๔๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์หรือมิฉะนั้นก็ให้จำเลยจัดการชำระราคาที่ดินให้นางประเสริฐ และถอนชื่อนางประเสริฐกับพวกออกเอาชื่อโจทก์จำเลยใส่ลงในโฉนดให้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน แล้วจัดการขายทอดตลาดหักเป็นค่าที่ดินและค่าใช้จ่ายเสีย ๕๐๐,๐๐๐ บาท เงินที่เหลือแบ่งกันคนละครึ่ง ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามดังกล่าวแล้วก็ให้โจทก์สวมสิทธิเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยแทนจำเลยต่อไป
จำเลยให้การว่าโจทก์เคยเป็นภริยาจำเลยแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสโจทก์ไม่เคยเกี่ยวข้องค้าที่ดินร่วมกับจำเลย จำเลยผู้เดียวได้ตกลงกับนางประเสริฐว่าถ้าจำเลยติดต่อกับทางราชการให้ยกเลิกเวนคืนที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๗๗ ได้สำเร็จ นางประเสริฐจะขายที่ดินดังกล่าวให้จำเลยในราคาไร่ละ ๓๐,๐๐๐ บาท แต่นางประเสริฐผิดสัญญา จำเลยฟ้องนางประเสริฐผลที่สุดจำเลยชนะคดีคือคดีหมายเลขแดงที่ ๕๕๑๔/๒๕๑๙ โจทก์จำเลยเลิกเป็นสามีภริยากันเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๐๖ ได้แบ่งทรัพย์สินกันเสร็จแล้ว โจทก์สละสิทธิในการดำเนินคดีสำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๗๗ ไปโดยปริยาย โจทก์ไม่ได้จัดหานายสมบัติเป็นทนายให้จำเลย และโจทก์ไม่ได้เสียค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย จำเลยไม่เคยทำหนังสือลงวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๐๙ ให้โจทก์ คดีหมายเลขแดงที่ ๖๔๗๘/๒๕๑๑ ซึ่งจำเลยฟ้องขอให้เพิกถอนกรรมสิทธิ์การโอนที่ดินนั้นให้ตกลงยอมความกันระหว่างจำเลยและนางประเสริฐกับพวก โดยจำเลยได้รับค่าตอบแทนเป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท แล้วคู่ความได้ร่วมกันยื่นคำร้องขอถอนฎีกา ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๗๗ ราคาไม่สูงตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงิน ๓๑๔,๐๐๐ บาทแก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
โจทก์และจำเลยฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้โจทก์เป็นภริยาแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสระหว่างที่โจทก์จำเลยอยู่กินฉันภริยาสามีนั้น ได้ประกอบการค้าที่ดินจำเลยตกลงกับเจ้าของที่ดิน ๑๘ รายว่าจะติดต่อกับกรมขนส่งทางบกเพื่อให้ยกเลิกการเวนคืนที่ดิน ถ้าทำสำเร็จเจ้าของที่ดินจะยอมขายที่ดินให้จำเลยในราคาไร่ละสามหมื่นบาท จึงได้ทำหนังสือสัญญากันไว้ผลที่สุดจำเลยติดต่อให้เพิกถอนการเวนคืนที่ดินสำเร็จ จำเลยจึงซื้อที่ดินแล้วขายให้แก่นายชวนไปในราคาไร่ละหกหมื่นบาท คงมีเจ้าของที่ดิน ๖ รายไม่ยอมขายให้จำเลยตามสัญญา จำเลยจึงฟ้องโดยเฉพาะคดีหมายเลขแดงที่ ๕๕๑๔/๒๕๐๙ ซึ่งจำเลยฟ้องนางประเสริฐนั้นจำเลยเป็นฝ่ายชนะ ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกานางประเสริฐได้โอนขายที่ดินให้พันตำรวจตรีกมล แล้วพันตำรวจตรีกมลโอนขายให้นายกำพลไป จำเลยตั้งนายสมบัติเป็นทนายฟ้องนางประเสริฐกับพวกขอให้ศาลสั่งเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินโฉนดที่ ๑๐๗๗ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำเลยนี้เป็นฝ่ายชนะ นางประเสริฐกับพวกยื่นฎีกาจำเลยยื่นคำร้องขอถอนฟ้องศาลฎีกาสั่งยกคำร้องต่อมานางประเสริฐกับพวกยื่นคำร้องขอ ถอนฎีกาโดยอ้างเหตุผลร่วมกับจำเลยว่าได้ตกลงยอมความกันระหว่างจำเลยกับนายกำพลว่าจำเลยได้รับเงินทดแทนค่าเสียหายสามแสนบาทแล้ว ไม่เรียกร้องค่าเสียหายหรือบังคับคดีเอาแก่นางประเสริฐกับพวกทั้งหมดต่อไป นอกจากนี้จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาตามเอกสารหมาย จ.๔ มอบให้โจทก์ไว้
มีปัญหาว่า โจทก์จะมีอำนาจฟ้องจำเลยเพื่อยอมให้โจทก์มีสิทธิในที่ดินดังกล่าวร่วมด้วย หรือให้จำเลยชำระเงินส่วนแบ่งผลประโยชน์จากการค้าที่ดินตามสัญญาได้หรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นางประเสริฐได้ทำสัญญาจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๗๗ ให้แก่จำเลยไว้ในระหว่างที่โจทก์จำเลยกำลังอยู่กินเป็นภริยาสามีกัน ฉะนั้นสิทธิเรียกร้องในการจะฟ้องบังคับให้นางประเสริฐโอนขายที่ดินดังกล่าวโจทก์จำเลยจึงมีสิทธิร่วมกันในฐานะที่เข้าหุ้นกันทำการค้าที่ดินโดยเฉพาะโจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาผลประโยชน์จากจำเลยเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๗๗ ในฐานะร่วมกันค้า ภายหลังจำเลยก็ได้ฟ้องนางประเสริฐจนชนะ ปรากฏตามคดีของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ ๕๕๑๔/๒๕๐๙ ซึ่งจะทำให้จำเลยมีโอกาสได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินมา และโจทก์ก็จะมีกรรมสิทธิ์ร่วมด้วยครึ่งหนึ่ง ยังปรากฏจากหนังสือสัญญาตามเอกสารหมาย จ.๔ อีกว่า เมื่อได้ที่ดินมาจำเลยยอมให้โจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมด้วยครึ่งหนึ่ง หรือเมื่อซื้อและขายที่ดินแล้วให้หักค่าใช้จ่ายออกห้าแสนบาทเงินกำไรที่เหลือจะต้องแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง แสดงว่าโจทก์มีสิทธิทั้งในฐานะหุ้นส่วนและตามหนังสือสัญญา
โจทก์มีส่วนได้เสียร่วมอยู่กับจำเลยในการค้าที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๑๐๗๗ โจทก์จึงออกเงินค่าธรรมเนียมให้จำเลยฟ้องให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์เพื่อแบ่งปันกันระหว่างโจทก์จำเลย เป็นการรักษาผลประโยชน์ของโจทก์ซึ่งชอบที่จะทำได้ หาขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนไม่
ตามฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ได้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยในที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๗๗ หรือให้จำเลยจัดซื้อและขายที่ดินดังกล่าว แล้วหักค่าใช้จ่ายเสียห้าแสนบาทเอาผลกำไรที่เหลือแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง ซึ่งมีความหมายถึงให้เอาผลประโยชน์จากการดำเนินคดีที่จำเลยฟ้องนางประเสริฐกับพวกเกี่ยวกับการขอเพิกถอน นิติกรรมการโอนที่ดิน หากได้เงินประโยชน์สุทธิมาเท่าใดก็ให้แบ่งให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง สำหรับนัยแรกนั้นจำเลยไม่ติดใจบังคับคดีจำเลยจึงไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ศาลจะพิพากษาให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินร่วมกับจำเลยไม่ได้ และจะให้โจทก์เข้าสวมสิทธิของจำเลยก็ไม่ได้ด้วยเป็นอันว่าจะบังคับให้นางประเสริฐกับพวกปฏิบัติตามคำพิพากษาใน คดีของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ ๕๕๑๔/๒๕๐๙ และ ๖๔๗๘/๒๕๑๑ ไม่ได้ แต่ศาลก็ยังมีทางบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินตามคำขอของโจทก์นัยหลังได้
ปัญหาว่า โจทก์ควรจะได้รับส่วนแบ่งเป็นเงินเท่าไรนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้วฟังว่าโจทก์จำเลยร่วมกันค้าที่ดินหวังเอาผลกำไรแบ่งปันกัน ฉะนั้นผลประโยชน์อันเกิดจากการค้าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๗๗ โจทก์จำเลยจึงมีสิทธิร่วมกันคนละครึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องแบ่งเงินสามแสนบาทนี้ให้แก่โจทก์
เมื่อจำเลยไม่ได้ซื้อขายที่ดินจึงไม่มีสิทธิหักค่าใช้จ่ายจำนวนห้าแสนบาทตามสัญญา สำหรับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่นค่าฤชาธรรมเนียมในการดำเนินคดีนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จะฟ้องนางประเสริฐกับพวก ขอให้โจทก์ออกเงินให้ก่อนเมื่อได้ที่ดินมาขายและหักค่าใช้จ่ายแล้วแบ่งเงินกันคนละครึ่ง โจทก์จึงออกเงินค่าธรรมเนียมไป ๑๔,๐๐๐ บาท อย่างไรก็ดีการดำเนินคดีจำเลยก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างอื่นไปบ้าง แต่การนำสืบไม่ปรากฏชัดว่าเสียค่าใช้จ่ายไปมากน้อยเพียงใดจึงไม่สามารถคิดคำนวณค่าใช้จ่ายที่แท้จริงเพื่อหักออก จากเงินสามแสนบาทก่อนแล้วจึงแบ่งกันเห็นสมควรกะประมาณสันนิษฐานเอาว่าโจทก์จำเลยต่างได้ออกค่าใช้จ่ายไป ฝ่ายละครึ่งและไม่ต้องหักค่าใช้จ่ายจากเงินสามแสนบาท คงให้แบ่งกันไปคนละครึ่ง
พิพากษาแก้ให้จำเลยชำระเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share