คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2878/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 (จำเลยที่ 1 ในสามสำนวนแรก) และ จ. เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 2133 และสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินได้ทำสัญญาจะซื้อขายห้องแถวไม้ 3 ห้อง พร้อมที่ดินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดที่ 2133 ให้แก่โจทก์ทั้ง 3 (โจทก์ในสามสำนวนแรก) คนละห้อง โดยให้ผ่อนชำระเป็นรายเดือน แล้วจำเลยที่ 1 และ จ. ได้ขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 (จำเลยที่ 2 ที่ 3 ในสามสำนวนแรก) โดยไม่แจ้งให้โจทก์ทั้ง 3 ทราบ โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 ผู้ซื้อทราบอยู่ก่อนแล้วว่าจำเลยที่ 1 และ จ. กับโจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายกัน และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ยอมรับทั้งสิทธิ์และหน้าที่ของจำเลยที่ 1 และ จ. ผู้ขาย ซึ่งเท่ากับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ทำสัญญาตกลงกับจำเลยที่ 1 และ จ. (คู่สัญญาของโจทก์ทั้งสาม) ว่าตนจะชำระหนี้แก่โจทก์ทั้ง 3 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก จำเลยที่ 2 ที่ 3 มิได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและห้องพิพาทกับโจทก์ทั้ง 3 ขึ้นใหม่ คงถือตามสัญญาเดิม เมื่อต่อมาจำเลยทั้ง 3 ได้แจ้งเรื่องการซื้อขายระหว่างจำเลยต่อโจทก์ทั้ง 3 ว่าถ้าโจทก์ทั้ง 3 ยังประสงค์จะซื้อที่ดินและห้องแถวอยู่ก็ให้ส่งเงินที่ค้างทั้งหมดแก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ภายใน 7 วัน โจทก์ทั้ง 3 มีหนังสือตอบตกลงขอให้จำเลยที่ 2 นัดวันโอนกรรมสิทธิ์ ดังนี้ ย่อมเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์ทั้ง 3 ที่จะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 สิทธิ์ของโจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้เกิดมีขึ้นแล้ว คู่สัญญาหาอาจจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธิ์นั้นในภายหลังได้ไม่ จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงต้องผูกพันตนร่วมกับจำเลยที่ 1 และ จ. เป็นคู่สัญญารับผิดในการปฏิบัติตามสัญญานั้นต่อโจทก์ทั้งสามด้วย

ย่อยาว

คดีทั้ง ๖ สำนวนนี้ศาลพิจารณาพิพากษารวมกันโดยเรียกโจทก์ในสามสำนวนแรกว่าโจทก์ จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ในสำนวนแรกเป็นจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ และนางจิตราภา ศุภเจตตรา เจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโฉนดเลขที่ ๒๑๓๓ ได้ทำสัญญาจะซื้อขายห้องแถว ๓ ห้อง และที่ดินซึ่งห้องแถวดังกล่าวปลูกอยู่อันเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของโฉนดเลขที่ ๒๑๓๓ ให้กับโจทก์ทั้ง ๓ คนละห้อง โจทก์ชำระมัดจำแล้วบางส่วน ที่เหลือตกลงผ่อนชำระเป็นรายเดือน ครั้นถึงกำหนดชำระงวดที่ ๔ โจทก์ได้ส่งชำระตามกำหนด แต่จำเลยที่ ๓ ไม่ยอมรับ ต่อมาจำเลยที่ ๑ และนางจิตราภาได้ขายที่ดินแปลงดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ โดยจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ทราบอยู่ก่อนแล้วว่าโจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อขายกับจำเลยที่ ๑ และนางจิตราภาดังกล่าวแล้ว ต่อมาโจทก์ได้รับหนังสือของจำเลยทั้งสามว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้โอนไปยังจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ แล้ว จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ยอมรับทั้งสิทธิ์และหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ และนางจิตราภาให้โจทก์ส่งเงินแก่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ โจทก์จึงแจ้งไปว่าพร้อมที่จะชำระเงินที่ค้างทั้งหมดในวันโอน จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ กลับเพิกเฉยแล้วอ้างว่าโจทก์ผิดสัญญา ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามจดทะเบียนโอนและรับเงินที่ค้าง
จำเลยให้การว่า จำเลยที่ ๑ และนางจิตราภาได้ทำสัญญาจะขายที่ดินและห้องแถวตามฟ้องแก่โจทก์ และจำเลยที่ ๑ กับนางจิตราภาได้ขายกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๑๓๓ พร้อมสิ่งปลูกสร้างรวมทั้งสิทธิ์และหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ และนางจิตราภาอันมีอยู่กับโจทก์ให้แก่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จริง แต่โจทก์ประพฤติผิดเงื่อนไขขัดต่อสัญญา จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จึงได้บอกเลิกสัญญาและฟ้องขับไล่โจทก์ตามสำนวนที่ ๔, ๕ และ ๖ ซึ่งปรากฏว่าโจทก์ทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่โจทก์ทั้งสาม
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๑ และ จ. เจ้าของที่ดินโฉนดที่ ๒๑๓๓ และสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินได้ทำสัญญาจะซื้อขายห้องแถวไม้ ๓ ห้อง พร้อมที่ดินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดที่ ๒๑๓๓ ให้แก่โจทก์ทั้ง ๓ คนละห้อง โดยให้ผ่อนชำระเป็นรายเดือน แล้วจำเลยที่ ๑ และ จ. ได้ขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ โดยไม่แจ้งให้โจทก์ทั้ง ๓ ทราบ โดยจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ผู้ซื้อทราบอยู่ก่อนแล้วว่าจำเลยที่ ๑ และ จ. กับโจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายกัน จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ยอมรับทั้งสิทธิ์และหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ และ จ. ผู้ขาย ซึ่งเท่ากับว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ได้ทำสัญญาตกลงกับจำเลยที่ ๑ และ จ. (คู่สัญญาของโจทก์ทั้ง ๓) ว่าตนจะชำระหนี้แก่โจทก์ทั้ง ๓ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มิได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและห้องพิพาทกับโจทก์ทั้ง ๓ ขึ้นใหม่ คงถือตามสัญญาเดิม แสดงว่าโจทก์ทั้ง ๓ และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ได้ถือเอาประโยชน์จากสัญญาที่ได้ทำกันไว้ เมื่อต่อมาจำเลยทั้ง ๓ ได้แจ้งเรื่องการซื้อขายระหว่างจำเลยต่อโจทก์ทั้ง ๓ ว่าถ้าโจทก์ทั้ง ๓ ยังประสงค์จะซื้อที่ดินและห้องแถวอยู่ก็ให้ส่งเงินที่ค้างทั้งหมดแก่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ภายใน ๗ วัน โจทก์ทั้ง ๓ มีหนังสือตอบตกลงขอให้จำเลยที่ ๒ นัดวันโอนกรรมสิทธิ์ ดังนี้ ย่อมเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์ทั้ง ๓ ที่จะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นกับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ สิทธิ์ของโจทก์ทั้ง ๓ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้เกิดมีขึ้นแล้ว คู่สัญญาหาอาจจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธิ์นั้นในภายหลังได้ไม่ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จึงต้องร่วมผูกพันตนร่วมกับจำเลยที่ ๑ และ จ. เป็นคู่สัญญาร่วมรับผิดในการปฏิบัติตามสัญญานั้นต่อโจทก์ทั้งสามด้วย.
พิพากษากลับ ให้จำเลยร่วมกันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและห้องพิพาทให้โจทก์ตามสัญญา โดยให้โจทก์ชำระเงินส่วนที่ค้างอยู่คนละ ๒๖,๐๐๐ บาทแก่จำเลย หากไม่สามารถโอนให้ได้ หรือสภาพแห่งหนี้ไม่อาจบังคับได้ ให้จำเลยร่วมกันคืนเงินแก่โจทก์คนละ ๓๕,๐๐๐ บาท พร้อมค่าเสียหายแก่โจทก์อีกคนละ ๙,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ฯ

Share