แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยยื่นเรื่องราวต่อทางอำเภอขอขายที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์ร้องคัดค้านว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ครึ่งหนึ่ง ให้จำเลยครอบครองไว้แทน อำเภอจึงทำการเปรียบเทียบ จำเลยว่าที่พิพาทเป็นของตนทั้งแปลง ได้รับมรดกและได้ครอบครองทำประโยชน์ติดต่อกันประมาณ 45 ปีแล้ว โจทก์ไม่เคยเกี่ยวข้อง อำเภอจึงสั่งให้โจทก์นำคดีไปฟ้องต่อศาลภายใน 40 วัน แต่โจทก์ไม่ฟ้องภายในกำหนดดังกล่าว อำเภอจึงจดทะเบียนซื้อขายให้ ดังนี้ ถือว่าจำเลยได้โต้แย้งสิทธิโจทก์นับตั้งแต่วันที่จำเลยได้อ้างในการเปรียบเทียบของอำเภอ โดยแสดงออกต่อโจทก์แล้วว่าจะเอาที่พิพาทเป็นของตน มิได้ยึดถือแทนโจทก์ต่อไป อันเป็นการแย่งการครอบคอรง หาใช่นับตั้งแต่วันที่อำเภอได้ทำการจดทะเบียนขายที่พิพาทไม่ เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องเกินกว่าหนึ่งปีนับแต่วันถูกแย่งการครอบครองโจกท์จึงขาดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครอง โจทก์จึงขาดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 วรรค 2
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมที่น่าตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องของนายฉ้วนบิดาโจทก์กับจำเลยที่ ๑ คนละครึ่ง เมื่อบิดาโจทก์ถึงแก่กรรม ที่ดินส่วนของบิดาตกทอดยังโจทก์ โจทก์จำเลยได้ครอบครองร่วมกันตลอดมา เมื่อโจทก์ย้ายไปอยู่กับสามีจึงมอบนาพิพาทให้จำเลยที่ ๑ ครอบครองจำเลยแทน ต่อมา พ.ศ. ๒๕๑๑ จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ ๑ ได้ไปยื่นคำร้องต่ออำเภอขอขายที่ดินทั้งแปลงให้แก่จำเลยที่ ๓ โจทก์คัดค้าน จำเลยที่ ๑ ซึ่งขณะนั้นไปนายอำเภอได้มีคำสั่งให้โจทก์นำคดีฟ้องศาลภายใน ๔๐ วัน คือภายในวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๑๒ ครั้นวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๑๒ จำเลยที่ ๔ จึงสั่งให้ยกสัญญาซื้อขายที่นาพิพาท โจทก์เห็นว่าหนังสือสัญญาซื้อขายไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะที่นาพิพาทเป็นของโจทก์ส่วนหนึ่ง จำเลยที่ ๒ ไม่มีอำนาจขายให้จำเลยที่ ๓ ทั้งจำเลยที่ ๔ ก็ไม่มีอำนาจสั่งให้โจทก์นำคดีไปฟ้องภายใน ๔๐ วัน และไม่มีอำนาจสั่งให้ทำสัญญาซื้อขาย จึงขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนสัญญาซื้อขายนั้นเสีย ให้จำเลยที่ ๑ และมี ๓ แบ่งที่ดินให้โจทก์ครึ่งหนึ่งถ้าแบ่งไม่ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ที่นาพิพาทหรือค่าเสียหายแก่โจทก์ ๑๙,๒๖๗.๕๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า ที่นาพิพาทเป็นของจำเลย ที่ ๑ นายฉ้วนไม่เคยมีส่วนเป็นเจ้าของร่วมด้วย จำเลยทั้งสองครอบครองที่นาพิพาทเพื่อตน โดยความสงบเปิดเผยมา ๔๐ ปีเศษแล้ว เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอขาย โจทก์คัดค้าน แต่โจทก์ไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่แสดงว่าที่นาพิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ไม่ฟ้องคดีภายใน ๔๐ วันตามคำสั่งของทางอำเภอ คดีโจทก์ขาดอายุความ
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า ได้ซื้อที่พิพาทไว้โดยสุจริต และจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานโดยชอบ คดีโจทก์ขาดอายุความ
จำเลยที่ ๔ ให้การว่าได้สั่งให้ซื้อขายที่นาพิพาทโดยสุจริต คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์นำคดีมาฟ้องภายหลัง ๑ ปีนับแต่วันถูกแย่งการครอบครอง คดีของโจทก์จึงขาดอายุความที่จะฟ้องคดีเพื่อเอาสิทธิครอบครองคืน ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นพิพาทข้ออื่น พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
คดีมีปัญหาว่า โจทก์ขาดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่นาพิพาทหรือไม่
วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๑๑ จำเลยที่ ๒ ได้ยื่นเรื่องราวต่อทางอำเภอปากพนัง ขอขายที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าให้แก่จำเลยที่ ๓ เมื่อโจทก์ทราบเรื่องจึงได้ยื่นคำร้องคัดค้านในวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๑๑ ทางอำเภอจึงได้ทำการไกล่เกลี่ยในวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๒ โดยเรียกจำเลยที่ ๒ และโจทก์มาอำเภอ ทำการสอบสวนถามข้อเท็จจริงและเปรียบเทียบพร้อมกัน จำเลยที่ ๒ อ้างว่าที่พิพาทเป็นของตน ได้รับมรดกจากมารดา จำเลยที่ ๑ และได้ครอบครองทำประโยชน์ติดต่อกันประมาณ ๔๕ ปีแล้ว โจทก์ไม่เคยเกี่ยวข้องแต่ประการใด ทางอำเภอจึงสั่งให้โจทก์นำคดีไปฟ้องต่อศาลภายในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๑๒ ต่อมาวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๑๓ โจทก์จึงได้ฟ้องเป็นคดีนี้ เห็นว่านับตั้งแต่วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๒ ที่จำเลยที่ ๒ ได้อ้างในการเปรียบเทียบของอำเภอ ว่าที่นาพิพาทเป็นของตน โจทก์ไม่เคยเกี่ยวข้องแต่ประการใด พึงถือว่าจำเลยที่ ๒ ได้โต้แย้งสิทธิโจทก์โดยจำเลยที่ ๒ แสดงต่อโจทก์แล้วว่าจะเอาที่นาพิพาทนั้นเป็นของตน มิได้ยึดถือแทนโจทก์ต่อไป อันเป็นการแย่งการครอบครองที่นาพิพาท หาใช่นับตั้งแต่วันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๑๒ ที่ทางได้ทำการจดทะเบียนขายที่พิพาทไม่ คดีนี้ โจทก์นำคดีมาฟ้องเกินกว่าหนึ่งปีนับแต่วันถูกแย่งการครอบครองโจกท์จึงขาดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครอง โจทก์จึงขาดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๗๕ วรรค ๒ พิพากษายืน