คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 833/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอายุ 9 ปี แล้วจึงทำร้ายเพื่อปกปิดความผิดของตน โดยใช้ไม้ไผ่ที่ปลายมีตาแหลมคมขนาดกลมโตวัดโดยรอบที่โคนไม้ 6 เซนติเมตรครึ่ง ที่ปลายไม้ 5 เซนติเมตร ยาว 1 เมตร และอีกอันหนึ่งที่โคนไม้ 4 เซนติเมตรครึ่ง ที่ปลายไม้ 4 เซนติเมตร แทงที่คอมีโลหิตไหล กระทืบที่หน้าและท้องจนสลบ ปรากฏบาดแผลรวม 10 แห่ง คือ แก้มซ้าย หางตาซ้าย ในปาก ริมฝีปาก คอ ไหปลาร้า โดยเฉพาะที่ไหปลาร้าซ้ายฉีดขาดกว้าง 0.2 เซนติเมตร ยาว 2 เซนติเมตร คอด้านซ้ายฉีดขาดกว้าง 0.5 เซนติเมตร ยาว 2 เซนติเมตร คอด้านขวาแผลที่ 1 ฉีกขาดกว้าง 0.2 เซนติเมตร ยาว 1 เซนติเมตร แผลที่ 2 กว้าง 0.2 เซนติเมตร ยาว 2 เซนติเมตร จำเลยเชื่อว่าผู้เสียหายตายจึงหลบหนีไป ดังนี้ ถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า หาใช่เป็นเพียงเจตนาทำร้ายไม่
ในกระทงความผิดข้อหาข่มขืนกระทำชำเรานั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอายุ ๙ ปี แล้วใช้ไม้ปลายแหลมแทงทำร้ายโดยเจตนาฆ่าเพื่อปกปิดความผิดและหลีกเลี่ยงความผิดที่กระทำ แต่ผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๗, ๒๘๙, ๘๐ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๘
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕, ๒๗๗ จำเลยอายุ ๑๖ ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๕ ลงโทษตามมาตรา ๒๗๗ จำคุก ๓ ปี มาตรา ๒๙๕ จำคุก ๑ ปี ชั้นจับกุมจำเลยรับสารภาพเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงลงโทษตามมาตรา ๒๗๗ จำคุก ๒ ปี มาตรา ๒๙๕ จำคุก ๘ เดือน รวมโทษจำคุกจำเลย ๒ ปี ๘ เดือน ริบไม้ของกลาง
จำเลยและโจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙, ๘๐ ลดมาตราส่วนให้กึ่งหนึ่ง ลงโทษจำคุก ๒๕ ปี คำรับสารภาพชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงให้จำคุก ๑๖ ปี ๘ เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราอีก ๒ ปีแล้ว รวมโทษจำคุกจำเลย ๑๘ ปี ๘ เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในกระทงความผิดข้อหาว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายหรือไม่นั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ลงโทษจำคุกจำเลย ๒ ปี จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
ส่วนข้อหาว่าจำเลยพยายามฆ่าผู้เสียหายอีกกระทงหนึ่งนั้น เห็นได้ว่ามูลเหตุที่จำเลยทำร้ายผู้เสียหายสืบเนื่องมาจากการที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย และคงเกรงว่าผู้เสียหายจะนำความไปบอกกับคนอื่นให้ทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และเพื่อเป็นการปกปิดความผิดของจำเลย จึงใช้ไม้ไผ่ที่ปลายมีตาแหลมคมเป็นไม้กลมโตขนาดวัดโดยรอบที่โคนไม้ ๖ เซนติเมตรครึ่ง ที่ปลายไม้ ๕ เซนติเมตร ยาว ๑ เมตร และอีกอันหนึ่งที่โคนไม้ ๔ เซนติเมตรครึ่ง ที่ปลายไม้ ๔ เซนติเมตร แทงที่คอผู้เสียหายมีโลหิตไหล กระทืบที่หน้าและท้องผู้เสียหายซึ่งอายุเพียง ๙ ขวบ จนสลบ ปรากฏบาดแผลตามรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง รวม ๑๐ แห่ง คือ แก้มซ้าย หางตาซ้าย ในปาก ริมฝีปาก คอ ไหปลาร้า โดยเฉพาะที่ไหปลาร้าซ้ายฉีดขาดกว้าง ๐.๒ เซนติเมตร ยาว ๒ เซนติเมตร คอด้านซ้ายฉีดขาดกว้าง ๐.๕ เซนติเมตร ยาว ๒ เซนติเมตร คอด้านขวาแผลที่ ๑ ฉีดขาดกว้าง ๐.๒ เซนติเมตร ยาว ๑ เซนติเมตร แผลที่ ๒ กว้าง ๐.๒ เซนติเมตร ยาว ๒ เซนติเมตร จำเลยเชื่อว่าผู้เสียหายถึงแก่ความตายแล้วจึงสลบไปปล่อยให้ผู้เสียหายนอนสลบอยู่ตรงที่เกิดเหตุจนกระทั่งฟื้น และเมื่อร้อยตำรวจเอกอนันต์ วงษ์ทอง พนักงานสอบสวนไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ ก็ปรากฏว่านอกจากจะพบหยดโลหิตแล้ว ยังพบไม้ไผ่ปลายแหลม ๒ อัน มีโลหิตติดอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุนั้น พฤติการณ์ดังกล่าวจึงหาใช่เป็นเพียงเจตนาทำร้ายผู้เสียหายดังที่จำเลยฎีกาขึ้นมาแต่ประการใดไม่
พิพากษายืน

Share