คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 639/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เพียงแต่จำเลยปักหลักไม้แก่นรุกล้ำเข้าไปในที่ดินมือเปล่าของโจทก์โดยไม่ได้เข้าไปครอบครองทำกินอย่างเป็นเจ้าของ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองแล้ว แม้จะได้ความว่าโจทก์ตรวจพบหลักไม้แก่นนั้นมา 2 ปีแล้ว โจทก์ก็ยังมีสิทธิฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์และห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รังวัดตรวจสอบเขตที่ดินของโจทก์ตาม ส.ค.1พบว่าด้านทิศตะวันตกมีหลักไม้แก่น 2 หลักปักรุกล้ำที่ดินของโจทก์เข้ามาประมาณ 1 เส้น 15 วา เป็นเนื้อที่ 1 ไร่เศษ โจทก์ทราบจากบุคคลภายนอกว่าจำเลยกับบริวารแอบนำเอาหลักดังกล่าวไปปักเพื่อแสดงว่าเป็นที่ดินของจำเลย โจทก์ขอให้ถอนหลักออกไป จำเลยกลับอ้างว่าเป็นที่ดินของจำเลยมี น.ส.3 แล้ว ขอให้พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวาร

จำเลยให้การว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของจำเลยมี น.ส.3แล้ว จำเลยครอบครองมาเกิน 1 ปีแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเอาคืน

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์และโจทก์เป็นผู้ครอบครองห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์และโจทก์เป็นผู้ครอบครองทำกิน และวินิจฉัยต่อไปว่าที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ตรวจพบหลักไม้แก่นซึ่งแสดงว่าจำเลยบุกรุกแย่งการครอบครองที่พิพาทมา 2 ปีแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องเอาที่พิพาทคืนนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลล่างว่า เพียงแต่จำเลยปักหลักรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น โดยไม่ได้เข้าไปครอบครองทำกินอย่างเป็นเจ้าของยังถือไม่ได้ว่าได้แย่งการครอบครองแล้วที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share