คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3768/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยใช้ไม้ตีทำร้ายผู้เสียหายล้มลงและ ในทันทีทันใดนั้นจำเลยก็ได้ลักเอาอาวุธปืนสั้นของผู้เสียหายไปซึ่งการกระทำทั้งสองอย่างดังกล่าวยังต่อเนื่องติดพันกันตามพฤติการณ์แสดงว่าขณะจำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจำเลยมีเจตนาเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์ของผู้เสียหายด้วยจึงเป็นการกระทำที่ครบองค์ประกอบความผิดชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 แล้ว แม้เจตนาเดิมจำเลยจะใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อให้พ้นการจับกุมในความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ที่ร้านทองก็ตาม แต่เมื่อจำเลยได้กระทำความผิดฐานชิงทรัพย์แล้วจำเลยก็ได้ใช้รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวเป็นยานพาหนะ ขับหลบหนีไป แสดงว่าจำเลยยังมีเจตนาที่จะใช้รถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับมาจอดไว้นั้นเป็นยานพาหนะในการหลบหนีเพื่อให้พ้นการจับกุมในความผิดฐานชิงทรัพย์นี้ด้วย การกระทำของจำเลย จึงเป็นการชิงทรัพย์โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อให้พ้นจากการจับกุมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 190,289, 339, 340 ตรี, 33, 80, 91 ริบไม้ท่อนและรถจักรยานยนต์ของกลาง และนับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1370/2539 หมายเลขแดงที่ 1359/2539 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การรับสารภาพและรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 190 วรรคหนึ่ง และมาตรา 295 ให้ลงโทษตามมาตรา 190 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 3 ปี และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 6 ปีจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปีริบไม้ท่อนของกลาง และให้นับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1359/2539 ของศาลชั้นต้น คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสาม ประกอบมาตรา 340 ตรีวางโทษจำคุก 15 ปี รวมกับโทษจำคุก 3 ปี ในความผิดตามมาตรา 190 วรรคหนึ่ง ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 18 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก9 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยได้กระทำความผิดฐานชิงทรัพย์หรือไม่จำเลยฎีกาว่า จำเลยใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายก็เพื่อให้พ้นจากการควบคุมตัวที่จำเลยเอาอาวุธปืนสั้นและกระสุนปืนของผู้เสียหายไปนั้นเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นภายหลังเพื่อป้องกันมิให้ผู้เสียหายและผู้อื่นที่อยู่ในบริเวณนั้นเข้าจับกุมหรือทำร้ายร่างกายจำเลย จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์เห็นว่าเมื่อจำเลยใช้ไม้ตีทำร้ายผู้เสียหายล้มลงและในทันทีทันใดนั้นจำเลยก็ได้ลักเอาอาวุธปืนสั้นของผู้เสียหายไป ซึ่งการกระทำทั้งสองอย่างดังกล่าวยังต่อเนื่องติดพันกัน ตามพฤติการณ์ดังกล่าวเชื่อว่าขณะจำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย จำเลยมีเจตนาเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์ของผู้เสียหายด้วย ดังนี้ นับเป็นการกระทำที่ครบองค์ประกอบความผิดฐานชิงทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 แล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่าจำเลยชิงทรัพย์โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้นำรถจักรยานยนต์มาจอดไว้เพื่อการวิ่งราวทรัพย์ที่ร้านทองเรวดี เมื่อจำเลยถูกควบคุมตัวในข้อหาดังกล่าวแล้วจึงพ้นจากเจตนาที่จะใช้เป็นยานพาหนะในการชิงทรัพย์คดีนั้นเห็นว่า แม้เจตนาเดิมจำเลยจะใช้รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวเป็นยานพาหนะเพื่อให้พ้นการจับกุมในความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ที่ร้านทองเรวดีก็ตาม แต่เมื่อจำเลยได้กระทำความผิดฐานชิงทรัพย์คดีนี้ด้วยแล้ว จำเลยก็ได้ใช้รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวเป็นยานพาหนะขับหลบหนีไป แสดงว่าจำเลยยังมีเจตนาที่จะใช้รถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับมาจอดไว้นั้นเป็นยานพาหนะในการหลบหนีเพื่อให้พ้นการจับกุมในความผิดฐานชิงทรัพย์คดีนี้ด้วยการกระทำของจำเลยจึงเป็นการชิงทรัพย์โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อให้พ้นการจับกุม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 ตรี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามาชอบแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นทุกข้อ”
พิพากษายืน

Share