คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1336/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หญิงสมัครใจแต่งงานอยู่กันกับชายได้ปีเศษ โดยต่างไม่นำพาต่อการจดทะเบียนสมรส ดังนี้ จะอ้างว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นมิได้ หญิงจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าทดแทนเพื่อการเสียความบริสุทธิ์ของตนจากชาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องใจความว่า เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๑๑ โจทก์ได้หมั้นกับจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นบุตรสาวของจำเลยที่ ๒ โดยนำสร้อยคอทองคำกับสร้อยข้อมือรวมราคาทั้งสิ้น ๕,๐๐๐ บาทให้เป็นของหมั้น จำเลยที่ ๒ เรียกสินสอดเป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท และโจทก์ปลูกเรือนหอในที่ดินของจำเลยที่ ๒ สิ้นเงินไป ๕๐,๐๐๐ บาท และได้ซื้อเครื่องเรือนสำหรับเรือนหออีก ๒,๕๐๐ บาท โจทก์ได้ทำพิธีแต่งงานกับจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๑๒ ได้มอบเงินสินสอดให้จำเลยที่ ๒ และมีผู้นำของขวัญกับได้เงินรับไหว้จากญาติอีกซึ่งจำเลยที่ ๑ เอาไว้แต่ผู้เดียว จากนั้นโจทก์ได้ขอให้จำเลยที่ ๑ ไปจดทะเบียนสมรส แต่จำเลยที่ ๑ ก็เพิกเฉย จนเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๑๕ จำเลยที่ ๑ ได้จดทะเบียนสมรสกับชายอื่น โจทก์จึงขอแยกทางและเรียกของหมั้น เงินค่าของขวัญเงินรับไหว้ครึ่งหนึ่งกับค่าเรือนหอคืน แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ คืนของหมั้น ค่าของขวัญ และเงินรับไหว้ครึ่งหนึ่ง ให้จำเลยที่ ๒ คืนเงินสินสอด ๑๐,๐๐๐ บาท และค่าเรือนหอกับเครื่องเรือน ๕๒,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้หมั้นจำเลยที่ ๑ ด้วยสร้อยคอและสร้อยข้อมือทองคำจริง แต่โจทก์ได้ยืมสร้อยคอทองคำหนัก ๘ บาทไปตอนอยู่กินด้วยกันและยังไม่ได้คืนให้ เงินสินสอด ๑๐,๐๐๐ บาทจำเลยได้จ่ายเป็นค่าเลี้ยงดูในพิธีแต่งงานหมดแล้ว เรือนที่โจทก์ฟ้องเป็นเรือนที่จำเลยที่ ๒ ปลูกขึ้นด้วยเงินของจำเลยเอง และได้ให้ผู้อื่นเช่าเครื่องเรือนเป็นของจำเลยที่ ๒ โจทก์เป็นฝ่ายผิดที่ไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรสทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ ๑ ได้เร่งรัดอยู่เสมอ โจทก์ได้ทอดทิ้งไม่อุปการะเลี้ยงดูจำเลยที่ ๑ เป็นเวลา ๑ ปี ๕ เดือน จำเลยที่ ๑ จึงได้สมรสใหม่ ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ การที่โจทก์ไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ ๑ ทำให้จำเลยที่ ๑ เสียหาย จึงฟ้องแย้ง ขอให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายสำหรับความเป็นสาวพรหมจารีย์ของจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท คืนหรือใช้ราคาสร้อยคอทองคำหนัก ๘ บาทเป็นเงิน ๔,๐๐๐ บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์มิได้ยืมสร้อยคอทองคำจากจำเลยที่ ๑ โจทก์มิได้ทำละเมิดหรือผิดสัญญาอย่างใด จำเลยที่ ๑ จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายที่เสียสาวพรหมจารีย์
ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์และจำเลยที่ ๑ แต่งงานกันโดยไม่นำพาต่อการจดทะเบียนสมรส โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกของหมั้นกับเงินสินสอดคืน เรือนพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๒ ของขวัญและเงินรับไหว้ยังอยู่กับโจทก์ เงินที่แขกมาช่วยในวันแต่งงานเป็นการช่วยจำเลยที่ ๒ จึงเป็นของจำเลยที่ ๒ เครื่องเรือนมารดาจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ซื้อ จำเลยที่ ๑ สมัครใจแต่งงานกับโจทก์ และโจทก์ได้เสียเงินสินสอดให้บิดามารดาจำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ ไม่เชื่อว่าโจทก์ได้ยืมสร้อยคอทองคำจากจำเลยที่ ๑ จึงพิพากษาให้ยกฟ้องของโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลย
โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน และให้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ทั้งสองฝ่ายเป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ฎีกา
ข้อเท็จจริงคดีนี้ได้ความว่า โจทก์และจำเลยที่ ๑ ได้แต่งงานอยู่กินกันฉันสามีภรรยามาตั้งแต่วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๑๒ โดยมิได้จดทะเบียนสมรส เมื่ออยู่กินกันได้ ๑ ปีเศษ จำเลยที่ ๑ ก็กลับมาอยู่กับจำเลยที่ ๒ และคดีมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะประเด็นเรื่องเรือนพิพาทและค่าทดแทนสำหรับการเสียความบริสุทธิ์ของจำเลยที่ ๑
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เรือนพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๒ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกร้องจากจำเลยที่ ๒ และวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่า สำหรับประเด็นเรื่องค่าทดแทนในการเสียความบริสุทธิ์ของจำเลยที่ ๑ นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ ๑ สมัครใจแต่งงานอยู่กินกับโจทก์เอง และได้อยู่กินกันมาช้านานถึง ๑ ปีเศษแล้ว การที่มิได้มีการจดทะเบียนสมรสกันระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ ทั้ง ๆ ที่ได้แต่งงานอยู่กินกันมา ๑ ปีเศษเช่นนี้ ย่อมแสดงอยู่ว่าต่างฝ่ายต่างไม่นำพาที่จะให้มีการจดทะเบียนสมรสกัน เพราะหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดประสงค์จะให้มีการจดทะเบียนสมรส ย่อมจะต้องขวนขวายให้มีการจดทะเบียนสมรสขึ้นหลังจากที่ได้แต่งงานกันแล้ว เมื่อจำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายสมัครใจแต่งงานอยู่กินกับโจทก์โดยต่างไม่นำพาต่อการที่จะให้มีการจดทะเบียนสมรสเช่นนี้ จึงจะอ้างว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นมิได้ จำเลยที่ ๑ จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าทดแทนเพื่อการเสียความบริสุทธิ์ของตนจากโจทก์ ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน.

Share