คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 363/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เช่าบ้านของ ส.ภรรยาจำเลยที่ 1 แล้วต่อมาถูก ส.ฟ้องขับไล่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ขับไล่โจทก์ออกจากบ้านนั้น โจทก์ฎีกาและศาลฎีกายังไม่มีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับ ขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ไปต่างจังหวัดและใส่กุญแจบ้านพิพาทไว้โดยฝากให้เพื่อนบ้านช่วยดูแลให้จำเลยที่ 1 ได้ให้จำเลยที่ 2 ตัดหูร้อยกุญแจบ้านออก และให้จำเลยที่ 2 เข้าไปอยู่อาศัยในบ้านดังกล่าว ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าหลังจากอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ขับไล่โจทก์แล้ว ศาลชั้นต้นได้มีคำบังคับให้โจทก์ออกจากบ้านพิพาทภายใน 1 เดือน แต่ในวันอ่านคำพิพากษาดังกล่าวโจทก์ไม่ได้มาศาลและไม่ได้ลงลายมือชื่อรับทราบคำบังคับไว้ ทั้งเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็ไม่ได้นำส่งคำบังคับไปยังโจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่งมาตรา 272 โจทก์จึงยังมีสิทธิอยู่ในบ้านพิพาทและย่อมเป็นผู้เสียหาย มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานบุกรุกได้
โจทก์ถูกศาลพิพากษาให้ขับไล่ ได้ออกจากบ้านพิพาทและขนย้ายสิ่งของออกไปหมดสิ้นแล้ว แต่เมื่อยังไม่ส่งมอบบ้านพิพาทคืน โดยได้ใส่กุญแจไว้และฝากให้เพื่อนบ้านช่วยดูแลให้ทั้งโจทก์ยังมีสิทธิอยู่ในบ้านพิพาทดังนี้ถือว่าโจทก์ครอบครอง บ้านพิพาทอยู่โดยปกติสุข การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ให้จำเลยที่ 2 ตัดหูร้อยกุญแจบ้านและให้จำเลยที่ 2 เข้าไปอยู่อาศัย จึงเป็นการใช้ให้จำเลยที่ 2 เข้าไปกระทำการอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุขตามประมวลกฎหมาย อาญามาตรา 362, 84

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ได้จ้างวานใช้ให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ตัดสายยูกุญแจบ้านซึ่งโจทก์เช่าจากนางสำอางค์ ชัยศิริ และบุกรุกเข้าไปโดยเจตนารบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข ซึ่งจำเลยทั้งสามไม่มีอำนาจที่จะทำได้ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒, ๘๓, ๘๔
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธก่อนสืบพยาน โจทก์ตายนางยุพาภรรยาโจทก์ร้องขอดำเนินคดีต่างโจทก์ผู้ตายต่อไป ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยที่ ๑ กระทำผิดจริงตามฟ้องส่วนจำเลยที่ ๒, ที่ ๓ ขาดเจตนาบุกรุก พิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒, ๘๔ ให้ปรับ ๖๐๐ บาท ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓
โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าอุทธรณ์ของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และเห็นว่าจำเลยที่ ๑ กระทำผิดจริงตามฟ้องพิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒, ๘๔
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามศาลอุทธรณ์ว่าโจทก์เช่าบ้านจากนางสำอางค์ภรรยาจำเลยที่ ๑ ต่อมานางสำอางค์ฟ้องขับไล่โจทก์ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่โจทก์ออกจากบ้านนั้นศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ในขณะที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ไปต่างจังหวัดและใส่กุญแจบ้านไว้โดยฝากให้นายภักดีเพื่อนบ้านช่วยดูแลให้จำเลยที่ ๑ ได้ให้จำเลยที่ ๒ ตัดหูร้อยกุญแจบ้านออก และให้จำเลยที่ ๒ กับครอบครัวเข้าไปอยู่อาศัยในบ้านดังกล่าว
วินิจฉัยว่าที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่าเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาขับไล่โจทก์ออกจากบ้านพิพาทและศาลฎีกายังไม่มีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับ โจทก์จะต้องออกไปจากบ้านพิพาทตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ การที่โจทก์อยู่ในบ้านพิพาทต่อมาเป็นการอยู่โดยไม่มีสิทธิและเป็นการละเมิดสิทธิของนางสำอางค์ผู้ชนะคดี โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่าเมื่อศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งอย่างใดซึ่งจะต้องมีการบังคับคดีอย่างเช่นพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาทมิ ใช่ว่าจำเลยจะต้องออกจากบ้านพิพาทไปทันทีโดยไม่มีสิทธิอยู่อีกต่อไป ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๒ บัญญัติให้ศาลมีคำบังคับกำหนดวิธีการที่จะปฏิบัติตามคำบังคับนั้นไว้ และให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งอยู่ในศาลในเวลาที่ศาลมีคำบังคับลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญหากในเวลาที่ศาลมีคำบังคับ ลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่อยู่ในศาลก็ต้องให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำส่งคำบังคับไปยังลูกหนี้ตามคำพิพากษาก่อน แต่จากสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๒๖๖/๒๕๑๕ ของศาลชั้นต้น ปรากฏว่าหลังจากอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว ศาลชั้นต้นได้มีคำบังคับให้โจทก์ออกจากบ้านพิพาทภายใน ๑ เดือนแต่ในวันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โจทก์ไม่มาศาลและไม่ได้ลงลายมือชื่อรับทราบคำบังคับไว้ ทั้งต่อมานางสำอางค์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็ไม่ได้นำส่งคำบังคับไปยังโจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาโจทก์จึงยังมีสิทธิอยู่ในบ้านพิพาท เมื่อโจทก์มีสิทธิอยู่ในบ้านพิพาท โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้อง
ข้อที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่าโจทก์ไม่มีการครอบครองบ้านพิพาทโดยปกติสุขเพราะโจทก์ออกจากบ้านพิพาทและขนย้ายสิ่งของออกไปจนหมดสิ้นแล้วการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการรบกวนการครอบครองบ้านพิพาทของโจทก์โดยปกติสุข ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒, ๘๔ นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าแม้โจทก์จะออกจากบ้านพิพาทและขนย้ายสิ่งของออกไปจนหมดสิ้นแล้ว แต่โจทก์ยังไม่ส่งมอบบ้านพิพาทให้แก่นางสำอางค์ โจทก์ใส่กุญแจบ้านพิพาทไว้และฝากให้นายภักดีเพื่อนบ้านช่วยดูแลไว้ ทั้งโจทก์ยังมีสิทธิอยู่ในบ้านพิพาทดังที่วินิจฉัยมาแล้วจึงถือว่าโจทก์ครอบครองบ้านพิพาทอยู่โดยปกติสุข การกระทำของจำเลยที่ ๑ ที่ให้จำเลยที่ ๒ ตัดหูร้อยกุญแจบ้านพิพาทออก แล้วให้จำเลยที่ ๒ และครอบครัวเข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านพิพาทนั้น เป็นการใช้ให้จำเลยที่ ๒ เข้าไปกระทำการอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุขตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒, ๘๔
พิพากษายืน

Share