แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องว่า จำเลยมีหน้าที่ควบคุมดูแลจัดการเก็บรักษาการบัญชีรับจ่ายและรักษาเงินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2513 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2514เป็นเวลาถึง 1 ปี 7 เดือน จำเลยได้บังอาจยักยอกเบียดบังเอาเงินจำนวน 11,726.39 บาท ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ไปปรากฏจากข้อนำสืบของโจทก์ว่า งบประมาณขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์มี 5งบ คือ งบทั่วไปงบเร่งรัดพัฒนาชนบท งบส่วนการศึกษา งบภาคตะวันออกเฉียงเหนือและงบอุดหนุนสภาตำบล เงินที่หายไปนี้เป็นเงินที่อยู่ในงบเร่งรัดพัฒนาชนบทและเกิดจากการที่จำเลยยักยอกเงินตามบัญชีเงินสดเกินหรือขาดไปรวม 22 รายการ แต่ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายรายละเอียดที่เป็นสารสำคัญว่า เป็นเงินงบใด และยักยอกแต่ละครั้ง เป็นจำนวนเท่าใดและเมื่อใด เมื่อบรรยายรวมๆกันมาเช่นนี้ จำเลยจะเข้าใจข้อหาเกี่ยวกับเงินที่จำเลยต้องหาว่ายักยอกเบียดบังมิได้เลย ย่อมเสียเปรียบในการต่อสู้คดีฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 894/2508)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 และมีคำขอให้จำเลยคืนเงินที่จำเลยยักยอกนั้นแก่ผู้เสียหายด้วยนั้น เป็นคำขอส่วนแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่โจทก์ฟ้อง แม้ศาลจะไม่ลงโทษจำเลย เพราะคำฟ้องของโจทก์ในส่วนอาญาไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อจำเลยรับว่าได้ยักยอกเบียดบังเอาเงินของผู้เสียหายไปจริง อำนาจของพนักงานอัยการที่จะว่ากล่าวเกี่ยวกับคำขอส่วนแพ่งคงมีต่อไป ศาลมีอำนาจสั่งให้จำเลยคืนเงินจำนวนนั้นแก่ผู้เสียหายได้
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา147 โดยบรรยายฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยได้กระทำผิดในวันเวลาใดไม่ปรากฏชัดในระหว่างที่จำเลยดำรงตำแหน่งพนักงานบัญชีและรักษาการในตำแหน่งหัวหน้าหมวดการเงินและการบัญชีส่วนการคลังอีกตำแหน่งหนึ่ง และต่อมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าหมวดดังกล่าวติดต่อกันมาคือ ระหว่างวันที่ 19สิงหาคม 2512 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2515 และเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2514 เวลากลางวัน จำเลยได้รับเงินอุดหนุนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 101,910 บาทจากนายเสถียร ศรีพนา จำเลยได้จ่ายเงินดังกล่าวโดยหักเงินสะสมไว้ 4,056 บาท แล้วยักยอกเบียดบังเอาเงินจำนวน 4,056 บาทไปจึงเป็นฟ้องที่กล่าวหาว่าจำเลยยักยอกเบียดบังเอาเงินไปในระหว่างวันที่ 29 มกราคม 2514 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยรับเงิน ถึงวันที่ 30 กันยายน2515 ฟ้องข้อนี้จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1330/2506)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องโดยบรรยายการกระทำของจำเลยเป็น ๓ ข้อ คือ ก.ข.ค.ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗, ๑๕๗ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๓, ๑๓ และให้จำเลยคืนเงินจำนวน ๒๖,๔๐๙.๘๙ บาท แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์
จำเลยตัดฟ้องว่า ฟ้องโจทก์ทุกข้อเคลือบคลุม แต่ต่อมารับสารภาพตามฟ้องข้อ ก. และ ค.
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ฟ้องข้อ ก.เคลือบคลุม สำหรับฟ้องข้อ ค. ฟังว่ายักยอกและไม่นำเข้าบัญชีผิดทั้ง ๒ มาตรา แต่ฟ้องไม่ได้ระบุวันยักยอกจึงไม่สมบูรณ์ ลงโทษตามมาตรา ๑๔๗ ไม่ได้ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องข้อ ค. ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ จำคุก ๒ ปีให้จำเลยชดใช้เงิน ๑๑,๗๒๖.๓๙ บาท แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ให้ยกฟ้องโจทก์ข้อ ก. และ ข. กับให้ยกคำขอของโจทก์ข้ออื่น
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ฟ้องข้อ ก.เคลือบคลุม แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพก็ลงโทษจำเลยไม่ได้ สำหรับฟ้องข้อ ค. เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องมาสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ แล้วและฟังว่า จำเลยได้ทุจริตยักยอกเบียดบังเอาเงิน ๔,๐๕๖ บาท ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ไปจริงมีความผิดตามมาตรา ๑๔๗ อีกบทหนึ่ง ซึ่งเป็นบทเฉพาะ ไม่ต้องลงโทษตามมาตรา ๑๕๗ ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน๑๑,๗๒๖.๓๙ บาท ที่จำเลยเบียดบังเอาไปตามฟ้องข้อ ก. แก่ผู้เสียหายนั้นเมื่อฟ้องไม่สมบูรณ์ ลงโทษจำเลยไม่ได้แล้ว ศาลก็จะสั่งให้จำเลยชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายไม่ได้ พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดดังโจทก์ฟ้องในข้อ ค.ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๓ ลดแล้วจำคุก ๒ ปี ๖ เดือนและจำเลยไม่ต้องชดใช้เงินจำนวน ๑๑,๗๒๖.๓๙ บาท ตามฟ้องข้อ ก.
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ข้อ ก.บรรยายว่า จำเลยมีหน้าที่ควบคุมดูแลจัดการเก็บรักษาการบัญชีรับจ่ายและรักษาเงินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ ในระหว่างวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์๒๕๑๓ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๑๔ เป็นเวลาถึง ๑ ปี ๗ เดือน จำเลยได้บังอาจยักยอกเบียดบังเอาเงินจำนวน ๑๑,๗๒๖.๓๙ บาทขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ไป โจทก์นำสืบว่า งบประมาณขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์มี ๕ งบ คือ งบทั่วไปงบเร่งรัดพัฒนาชนบท งบส่วนการศึกษา งบภาคตะวันออกเฉียงเหนือและงบอุดหนุนสภาตำบล เงินที่หายไปนี้เป็นเงินที่อยู่ในงบเร่งรัดพัฒนาชนบทและเกิดจากการที่จำเลยยักยอกเงินตามบัญชีเงินสดเกินหรือขาดไปรวม๒๒ รายการ มีเงินขาดบัญชีรวม ๑๔ ครั้ง เป็นเงิน ๑๔,๔๙๑.๙๙ บาทเงินเกินบัญชีรวม ๘ ครั้ง เป็นเงิน ๒,๗๖๕.๖๐ บาท เมื่อหักกันแล้วเงินขาดบัญชีไป๑๑,๗๒๖.๓๙ บาท โจทก์มิได้บรรยายรายละเอียดที่เป็นสารสำคัญว่าเป็นเงินงบใดและแต่ละครั้งเป็นจำนวนเท่าใด และเมื่อใด เมื่อโจทก์บรรยายรวม ๆ กันมาเช่นนี้จำเลยจะเข้าใจข้อหาเกี่ยวกับเงินที่จำเลยต้องหาว่ายักยอกเบียดบังมิได้เลยแล้วจำเลยจะแก้ข้อหาให้ถูกต้องได้อย่างไร จำเลยย่อมเสียเปรียบในการต่อสู้คดีฟ้องของโจทก์ข้อ ก.ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๕๘ เป็นฟ้องที่ไม่สมควรรับไว้พิจารณา ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ ๘๙๔/๒๕๐๘ ส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยคืนเงินจำนวน ๑๑,๗๒๖.๓๙ บาทแก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์นั้น เห็นว่า เป็นคำขอส่วนแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่โจทก์ฟ้อง แม้ศาลจะไม่ลงโทษจำเลยเพราะคำฟ้องของโจทก์ในส่วนอาญาไม่สมบูรณ์ แต่จำเลยก็รับว่าได้ยักยอกเบียดบังเอาเงินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ไปจริง อำนาจของพนักงานอัยการที่จะว่ากล่าวเกี่ยวกับคำขอส่วนแพ่งยังคงมีต่อไปศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งให้จำเลยคืนเงินจำนวน ๑๑,๗๒๖.๓๙ บาทแก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ได้
ฟ้องโจทก์ข้อ ค.ได้บรรยายเป็นใจความว่า จำเลยได้กระทำผิดในวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด ในระหว่างที่จำเลยดำรงตำแหน่งพนักงานบัญชีและรักษาการในตำแหน่งหัวหน้าหมวดการเงินและการบัญชีส่วนการคลังอีกตำแหน่งหนึ่ง และต่อมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าหมวดดังกล่าวติดต่อกันมาคือ ระหว่างวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๑๒ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๑๕ และเมื่อวันที่๒๙ มกราคม ๒๕๑๔ เวลากลางวัน จำเลยได้รับเงินอุดหนุนองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน ๑๐๑,๙๑๐ บาท จากนายเสถียร ศรีพนา จำเลยได้จ่ายเงินดังกล่าวโดยหักเงินสะสมไว้ ๔,๐๕๖ บาท แล้วยักยอกเบียดบังเอาเงินจำนวน ๔,๐๕๖ บาทไป จึงเป็นฟ้องที่กล่าวหาว่าจำเลยยักยอกเบียดบังเอาเงินไปในระหว่างวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๑๔ ซึ่งเป็นวันที่จำเลยรับเงิน ถึงวันที่๓๐ กันยายน ๒๕๑๕ แต่ตัวเงินอยู่ในความครอบครองของจำเลย จำเลยจะมีเจตนาทุจริตยักยอกในวันเวลาใดนั้น เป็นการเหลือวิสัยที่โจทก์จะล่วงรู้ได้จำเลยก็เข้าใจข้อหาได้ดี และให้การรับสารภาพแล้วฟ้องข้อ ค.ที่หาว่าจำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๓๐/๒๕๐๖
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้จำเลยคืนเงินจำนวน ๑๑,๗๒๖.๓๙ บาท แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์