คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1609/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องที่ขอให้เพิกถอนนิติกรรมและให้โอนที่พิพาท (ที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3) กลับเป็นชื่อโจทก์เป็นเจ้าของตามเดิม เป็นฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทนั้นด้วยจำเลยให้การต่อสู้ว่าซื้อโดยสุจริตและได้ครอบครองเป็นเจ้าของด้วยความสงบเปิดเผยตลอดมา ได้กรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองตามกฎหมายแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงเป็นข้อต่อสู้เรื่องกำหนดเวลาฟ้องเรียกคืนที่พิพาทโดยตรง ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติว่าจำเลยครอบครองเป็นเจ้าของตลอดมากับได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้วนับถึงวันฟ้องเกินกว่า 1 ปี โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเอาคืนการครอบครองได้อีกต่อไป เพราะสิทธิครอบครองที่พิพาทตกได้แก่จำเลยโดยเด็ดขาดแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ๑ แปลง เนื้อที่ประมาณ ๒๔ ไร่ ๒ งาน ๒๔ ตารางวา จำเลยทั้งสองได้สมคบกันปลอมหนังสือมอบอำนาจลงลายมือชื่อโจทก์ปลอมมอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ แบ่งขายที่ของโจทก์แปลงนี้เนื้อที่ ๘๕ ตารางวา ให้แก่จำเลยที่ ๒ แล้ว ต่อมาได้สมคบกันปลอมหนังสือมอบอำนาจขึ้นอีกฉบับหนึ่ง เป็นโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ ทำนิติกรรมขายฝากที่ดินที่เหลือให้แก่จำเลยที่ ๒ จนเจ้าพนักงานหลงเชื่อได้ทำนิติกรรมและจดทะเบียนซื้อขายและขายฝากให้ โจทก์ทราบเหตุจึงแจ้งความ และพนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ ต่อศาลจังหวัดนครพนม จำเลยที่ ๑ รับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษ คดีถึงที่สุดแล้ว การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้พิพากษาเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายและขายฝากทั้งสองฉบับ ให้ทรัพย์พิพาทคืนสู่สภาพเดิม โดยโอนกลับมาเป็นชื่อโจทก์เป็นเจ้าของตามเดิมหากไม่สามารถปฏิบัติได้ ให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา และให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหาย ๒,๐๐๐ บาทกับต่อปีละ ๑,๐๐๐ บาทจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ห้ามเกี่ยวข้อง
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ รับมอบอำนาจจากโจทก์โดยชอบทำการขายและขายฝากที่พิพาทแก่จำเลยที่ ๒ ได้รับเงินไปครบถ้วนสัญญาขายฝากพ้นกำหนดไถ่ถอนแล้ว จำเลยที่ ๒ ได้ซื้อมาโดยสุจริตมีค่าตอบแทน ได้ครอบครองมาโดยสงบ เปิดเผย แสดงตนเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวได้กรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องโจทก์ใช้สิทธิฟ้องไม่สุจริต ไม่เสียหายตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ ๑ ปลอมใบมอบอำนาจทั้งสองฉบับนิติกรรมซื้อขายและขายฝากไม่สมบูรณ์ แต่ข้อเท็จจริงฟังได้แน่ชัดว่า โจทก์ถูกแย่งการครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่านับถึงวันฟ้องเกินกว่า ๑ ปี ขาดอายุความฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลยที่ ๒ กรณีเป็นเรื่องสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้ชำระได้จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดชดใช้ราคาที่ดินแก่โจทก์พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินโจทก์ ๑๒,๐๐๐ บาท ยกฟ้องจำเลยที่ ๒
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกับศาลชั้นต้น เว้นแต่ข้อที่ให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินราคาที่ดินนั้นเกินคำขอ จึงพิพากษาแก้ เป็นว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องชำระราคาที่ดินแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ต้องถืออายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ จึงไม่ขาดอายุความกรณีของจำเลยที่ ๒ เป็นการครอบครองโดยไม่มีสิทธิ มิใช่แย่งการครอบครอง ทั้งไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้และฟ้องแย้ง จึงไม่ชอบที่จะอ้างอายุความมาเป็นมูลยกฟ้อง และวินิจฉัยถึงสิทธิในที่พิพาท
ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ ๑ ได้ปลอมหนังสือมอบอำนาจไปทำนิติกรรมขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) ของโจทก์บางส่วนให้แก่จำเลยที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๐๘ ต่อมาได้ปลอมหนังสือมอบอำนาจลงวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๐๘ ไปทำนิติกรรมขายฝากที่พิพาทที่เหลือจากการแบ่งขายแล้วนั้นแก่จำเลยที่ ๒ อีกจำเลยที่ ๒ รับโอนโดยสุจริต มิได้ร่วมรู้เห็นในการกระทำผิดของจำเลยที่ ๑ ด้วย และได้เข้าครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาทบางส่วนนับแต่วันซื้อ และครอบครองที่พิพาททั้งแปลงหลังพ้นกำหนดไถ่คืนแล้วตลอดมาเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๑ โจทก์ถูกภรรยาจำเลยที่ ๒ ห้ามมิให้เข้าไปเก็บพืชผลในที่พิพาทอ้างว่าซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ ๑ และได้จดทะเบียนการได้มาทางนิติกรรมกับพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วเดือนเมษายน ๒๕๑๑ โจทก์จึงร้องทุกข์เจ้าพนักงานให้ดำเนินคดีอาญากับจำเลยที่ ๑ ฐานปลอมเอกสารศาลจังหวัดนครพนมพิพากษาลงโทษจำคุก คดีถึงที่สุดแล้ว ครั้นวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๑๒ โจทก์จึงยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ที่พิพาทเป็นที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) โจทก์ผู้มีชื่อถือสิทธิคงมีแต่เพียงสิทธิครอบครองและที่ดินซึ่งมีแต่เพียงสิทธิครอบครองนี้ ผู้ที่จะได้สิทธิจะต้องเป็นผู้ยึดถือที่ดินนั้น หรือมีผู้ยึดถือแทนหากขาดการยึดถือโดยมีผู้แย่งครอบครอง ผู้ที่ยึดถือเพื่อตนโดยเข้าแย่งการครอบครองย่อมได้สิทธิครอบครอง กฎหมายได้กำหนดทางแก้ไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ ให้ผู้ถูกแย่งการครอบครองฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้นเสียภายใน ๑ ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง ฟ้องของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนนิติกรรมและให้โอนที่พิพาทกลับเป็นชื่อโจทก์เป็นเจ้าของตามเดิมเป็นฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้นด้วย จำเลยที่ ๒ ให้การต่อสู้ว่าซื้อโดยสุจริต และได้ครอบครองเป็นเจ้าของด้วยความสงบเปิดเผยตลอดมาได้กรรมสิทธิ์ครอบครองตามกฎหมายแล้วโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงเป็นข้อต่อสู้เรื่องกำหนดเวลาฟ้องเรียกคืนที่พิพาทโดยตรง ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติว่าจำเลยที่ ๒ ครอบครองเป็นเจ้าของตลอดมากับได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์มาแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๑ นับถึงวันโจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่า ๑ ปี โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเอาคืนการครอบครองได้อีกต่อไป เพราะสิทธิครอบครองที่พิพาทตกได้แก่จำเลยโดยเด็ดขาดแล้วกรณีเป็นเรื่องโต้แย้งเรื่องอำนาจฟ้อง เมื่อฟังว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทได้แล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยในเรื่องจะให้เพิกถอนนิติกรรมอันเกี่ยวกับที่พิพาทอีกต่อไป
พิพากษายืน

Share