แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คืนเกิดเหตุมีการลักลอบเล่นการพนันกันบนบ้านผู้มีชื่ออันเป็นที่รโหฐาน ผู้เสียหายกับพวกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจแต่ไม่ใช่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ได้รับคำสั่งให้ไปจับกุม จึงพากันไปยังบ้านที่เกิดเหตุ แต่ไม่มีหมายจับหรือหมายค้นไปด้วยไปถึงได้แอบดูเห็นคนหลายคนกำลังเล่นการพนันกันอยู่กรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นความผิดซึ่งเห็นกำลังกระทำลง อันเป็นความผิดซึ่งหน้าตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 80
ขณะเกิดเหตุนั้นมีคนบนเรือนประมาณ 50 คน ทั้งที่กำลังเล่นและมิได้เล่นการพนัน ถ้าปล่อยให้เนิ่นช้าไปโดยไม่จับทันทีก็อาจจับผู้กระทำความผิดไม่ได้เลย เพราะปนเปกันอยู่มากทั้งบรรดาพยานหลักฐานต่างๆ ก็อาจสูญหายหรือถูกทำลายไปหมดจึงเป็นกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง ผู้เสียหายกับพวกจึงมีอำนาจเข้าไป (ค้น)ในบ้านที่เกิดเหตุอันเป็นที่รโหฐานในเวลากลางคืนโดยไม่ต้องมีหมายค้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 96 (2) ประกอบด้วยมาตรา 92 (2) และมีอำนาจจับผู้กระทำความผิด โดยไม่ต้องมีหมายจับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 80และมาตรา 81 (1)
ขณะที่ผู้เสียหายกับพวกเข้าทำการจับกุมนั้น พวกผู้เล่นแตกฮือกันรีบหนีลงจากเรือนผู้เสียหายวิ่งเข้าจับข้อมือจำเลย จำเลยสะบัดหลุดผู้เสียหายใช้ปืนตีศีรษะจำเลยจนจำเลยล้มลงไป ขณะเดียวกันมีตำรวจอื่นเข้ากลุ้มรุมทำร้ายจำเลยด้วย แม้ผู้เสียหายจะมีอำนาจจับแต่การใช้วิธีการจับดังกล่าวนี้รุนแรงเกินความเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งเรื่อง ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 83 วรรคสอง การจับของผู้เสียหายดังนี้จึงเป็นการใช้วิธีจับที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย. จำเลยจึงชอบที่จะป้องกันสิทธิของจำเลยให้พ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการจับโดยใช้วิธีการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายนี้ได้ ไม่เป็นความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน
จำเลยได้ใช้มีดแทงผู้เสียหายในขณะที่ผู้เสียหายทำร้ายจำเลยและมีตำรวจอื่นอีกหลายคนกลุ้มรุมเข้ามาทำร้ายจำเลยด้วยผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บที่ท้อง 1 แห่ง และที่ไหล่ขวาอีก 1 แห่งรักษาประมาณ 21 วันหาย และมีดที่จำเลยใช้แทงก็เป็นมีดขนาดเล็กประกอบกับแทงในขณะที่เหตุการณ์กำลังชุลมุนสับสน อันอาจทำให้จำเลยเข้าใจได้ว่าจำเลยจะถูกผู้เสียหายและตำรวจอื่นทำร้ายเอาอีกการกระทำของจำเลยดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อป้องกันตนพอสมควรแก่เหตุ
(วรรค 1 – 2 วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2516)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกันต่อสู้และขัดขวางจ่าสิบตำรวจเสน ขันทอง กับพวกมิให้เข้าทำการจับกุมการเล่นการพนันซึ่งจำเลยกับพวกกำลังเล่นกันอยู่บนบ้านผู้มีชื่ออันเป็นการต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่ และจำเลยนี้กับพวกยังได้ใช้มีดปลายแหลมเป็นอาวุธแทงทำร้ายจ่าสิบตำรวจเสน ขันทอง ตามบริเวณร่างกายหลายครั้งด้วยเจตนาฆ่าจ่าสิบตำรวจเสน ขันทอง ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย แต่ได้รับการรักษาทันท่วงที จึงไม่ตายสมดังเจตนาของจำเลย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙, ๑๓๘, ๘๓, ๘๐
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกระทำผิดฐานต่อสู้ขัดขวางและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๘, ๘๓, ๒๘๙, ๘๐
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า แม้การกระทำของจำเลยกับพวกจะเป็นความผิดซึ่งหน้าแต่ก็ไม่ใช่กรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง การจับกุมจำเลยของจ่าสิบตำรวจเสนกับพวกกระทำไปโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย จำเลยไม่มีความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน แต่ไม่ปรากฏว่าตำรวจได้ทำร้ายจำเลยก่อนจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำไปเพื่อป้องกันตัวและฟังว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าแต่จำเลยมีเจตนาเพียงทำร้ายร่างกายจ่าสิบตำรวจเสน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗(๘) เท่านั้น
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยได้กระทำผิดตามฟ้อง ขอให้ลงโทษไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัวขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลฎีกาพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์จำเลยแล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า คืนเกิดเหตุ ร้อยตำรวจโทเอนกได้ทราบว่าที่บ้านราษฎรคนหนึ่งชื่อนายเจริญมีผู้ลักลอบเล่นการพนันโดยผิดกฎหมายจึงสั่งให้ร้อยตำรวจตรีพัลลภกับพวกรวมทั้งจ่าสิบตำรวจเสน ขันทองผู้เสียหายไปทำการจับกุม ตำรวจดังกล่าวทุกคนแต่งเครื่องแบบ ไปถึงบ้านที่เกิดเหตุได้พากันแอบดูเห็นมีคนประมาณ ๕๐ คนอยู่บนบ้านที่เกิดเหตุ ทั้งที่ได้เล่นและมิได้เล่นการพนัน จึงพากันขึ้นไปจับกุมผู้เล่นการพนันบนบ้านนั้นจำเลยซึ่งเป็นผู้เล่นคนหนึ่งได้ใช้มีดแทงทำร้ายจ่าสิบตำรวจเสนผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บตามฟ้อง
ข้อวินิจฉัยเบื้องต้นมีว่า กรณีอย่างนี้เป็นความผิดซึ่งหน้าหรือไม่
อันความผิดซึ่งหน้านั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๘๐ บัญญัติว่าได้แก่ความผิดซึ่งเห็นกำลังกระทำหรือพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทำความผิดมาแล้วสด ๆ คดีนี้ตำรวจผู้จับได้ไปแอบดูเห็นบุคคลหลายคนกำลังเล่นการพนันกันอยู่ที่บนเรือนนายเจริญ กรณีดังนี้ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่าเป็นความผิดซึ่งหน้าตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแล้ว
เมื่อเป็นความผิดซึ่งหน้า แม้ที่เกิดเหตุจะอยู่บนเรือนนายเจริญอันเป็นที่รโหฐาน หากเหตุเกิดในเวลากลางวัน พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจย่อมมีอำนาจจับได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ หมายค้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๑(๑) และมาตรา ๙๒(๒)แต่คดีนี้เหตุเกิดในเวลากลางคืน พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับได้ก็ต่อเมื่อเป็นกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง ตามมาตรา ๙๖(๒) ข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะเกิดเหตุมีคนบนเรือนประมาณ ๕๐ คน ทั้งที่กำลังเล่นการพนันและมิได้เล่นการพนัน จึงเป็นที่เห็นได้ว่า ถ้าปล่อยให้เนิ่นนานไปโดยไม่จับทันที ก็อาจจับผู้กระทำความผิดไม่ได้เลยเพราะผู้คนปนเปกันอยู่มากทั้งบรรดาพยานหลักฐานต่าง ๆ ก็อาจสูญหายหรือถูกทำลายไปหมด ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า กรณีดังกล่าวนี้ถือได้ว่าเป็นกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่งตามมาตรา ๙๖(๒) แล้ว พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจึงมีอำนาจจับในที่รโหฐานในเวลากลางคืนได้โดยไม่ต้องมีหมายจับหมายค้น
ส่วนข้อที่ว่า จำเลยใช้มีดปลายแหลมเป็นอาวุธแทงทำร้ายจ่าสิบตำรวจเสนเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ จะมีความผิดตามฟ้องของโจทก์ หรือเป็นการป้องกันสิทธิของจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมายดังจำเลยฎีกานั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงจ่าสิบตำรวจเสนเป็นบาดแผลที่หน้าท้องและที่ไหล่ขวารวมสองแห่งรักษาประมาณ ๒๑ วันหาย ที่จำเลยใช้มีดแทงจ่าสิบตำรวจเสนนั้นเพราะจ่าสิบตำรวจเสนวิ่งเข้าไปจับข้อมือจำเลย จำเลยสะบัดหลุดเพื่อไม่ให้จับกุม แล้วจ่าสิบตำรวจเสนใช้ปืนตีศีรษะจำเลยโดยแรงก่อนจนจำเลยล้มลงไปในขณะที่ตำรวจอื่นกลุ้มรุมทำร้ายจำเลยด้วย แม้จ่าสิบตำรวจเสนกับพวกจะมีอำนาจจับจำเลยได้ แต่การใช้วิธีจับกุมดังกล่าวมานี้เป็นการใช้วิธีจับที่รุนแรงเกินความเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งเรื่อง ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๓ วรรค ๒ เพราะจำเลยเพียงสะบัดข้อมือให้หลุดจากมือของจ่าสิบตำรวจเสนเท่านั้น การจับของจ่าสิบตำรวจเสนดังนี้จึงเป็นการใช้วิธีจับที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายจำเลยจึงชอบที่จะป้องกันสิทธิของจำเลยให้พ้นจากภยันตรายอันเกิดจากจับโดยใช้วิธีการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายนี้ได้ ไม่เป็นความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานตามฟ้อง จำเลยใช้มีดขนาดเล็กแทงจ่าสิบตำรวจเสนถูกในที่ไม่ใช่ส่วนสำคัญของร่างกาย ในขณะที่จ่าสิบตำรวจเสนเข้าทำร้ายจำเลยโดยมีตำรวจอีกหลายคนกลุ้มรุมเข้ามาเหตุการณ์กำลังชุลมุนสับสนอาจทำให้จำเลยเข้าใจได้ว่าจำเลยจะถูกจ่าสิบตำรวจเสนและตำรวจอื่นทำร้ายเอาอีก การที่จำเลยแทงไปเพียงเท่าที่กล่าวข้างต้น จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อป้องกันตนพอสมควรแก่เหตุไม่มีความผิด ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น ให้ยกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลยพ้นข้อหาไป