แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ล. เจ้าของที่ดินขายที่ดินให้ ม. โดยทำหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แล้ว ล. นำที่ดินนั้นไปจำนองต่อจำเลยที่ 3โดยทำหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เช่นกันต่อมาภายหลัง ล. ได้นำที่ดินรายเดียวกันนี้ไปขายให้โจทก์อีกโจทก์ไม่ทราบเรื่องที่ ล. ขายให้ ม. จึงรับซื้อไว้ และชำระราคาที่ดินให้จำเลยที่ 3 เป็นค่าไถ่ถอนจำนอง ดังนี้ ถือว่าในขณะที่ ล.จำนองที่ดินนั้น ล. ผู้จำนอง ไม่ใช่เจ้าของที่ดิน สัญญาจำนองระหว่าง ล. กับจำเลยที่ 3 จึงไม่มีผลบังคับได้ตามกฎหมายการที่โจทก์มอบเงินให้จำเลยที่ 3 ไปเป็นการไถ่ถอนจำนองและจำเลยที่ 3 รับไว้จึงเป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายและทำให้โจทก์เสียเปรียบ. โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกเงินที่ชำระไปคืนจากจำเลยที่ 3 ได้ในฐานลาภมิควรได้
คำฟ้องของโจทก์บรรยายว่า จำเลยที่ 3 ไม่มีสิทธิอันใดที่จะได้เงินค่าที่ดินไปจากโจทก์. ขอให้จำเลยที่ 3คืนเงินให้โจทก์เป็นที่เห็นได้แล้วว่าโจทก์ขอบังคับให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์ฐานลาภมิควรได้
ย่อยาว
คดีนี้ ในชั้นเดิมโจทก์ฟ้องจำเลยรวม ๖ คน แต่ต่อมาขอถอนฟ้องจำเลยอื่น เว้นแต่จำเลยที่ ๓
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๓ ว่า เมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๐๘ จำเลยที่ ๑โดยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้รับมอบอำนาจ ได้เอาที่สวน ๑ แปลงจำนองแก่จำเลยที่ ๓ โดยจำเลยที่ ๔ เป็นผู้รับมอบอำนาจจัดการรับจำนองแทนเพื่อประกันหนี้ซึ่งนายยุทธ อิสสระไพบูลย์ จะพึงมีต่อจำเลยที่ ๓ภายในวงเงินไม่เกิน ๖๐,๐๐๐ บาท ได้ทำหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว โดยจำเลยที่ ๔ รู้แล้วว่าที่ดินนั้นจำเลยที่ ๑ได้ขายให้แก่นายมนัส สุวรรณรัตน์ ไปแล้วตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๐๕โดยทำหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ต่อมาระหว่างวันที่ ๑ถึงวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๘ จำเลยที่ ๓ กับจำเลยที่ ๑, ๒ และ ๔ สมคบกันหลอกลวงโจทก์ว่าที่ดินดังกล่าวยังเป็นของจำเลยที่ ๑ และขายให้โจทก์โจทก์รับซื้อไว้โดยทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เช่นกันทั้งนี้โดยจำเลยที่ ๑ มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ ทำการไถ่ถอนจำนองแล้วขายให้โจทก์จำเลยที่ ๓ มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๔ รับการไถ่ถอนจำนอง โจทก์ได้ชำระเงิน๖๐,๐๐๐ บาทเป็นค่าไถ่ถอนจำนองให้แก่จำเลยที่ ๓ แล้ว ต่อมาโจทก์จึงเข้าครอบครองที่ดินที่ซื้อแต่เข้าครอบครองไม่ได้ เพราะนายมนัส สุวรรณรัตน์ครอบครองอยู่อ้างว่าจำเลยที่ ๑ ขายให้แล้ว การที่จำเลยที่ ๓ ได้เงินไปจากโจทก์เป็นการได้ไปโดยทุจริต เพราะการทำหนังสือจำนองไม่มีที่ดินที่จำนอง โดยจำเลยที่ ๑ ขายขาดให้นายมนัสไปก่อนแล้ว จำเลยที่ ๓ จึงไม่มีสิทธิอันใดที่จะได้เงินค่าที่ดินไปจากโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยที่ ๓ ส่งมอบที่ดินตามสัญญาซื้อขายให้โจทก์ ถ้าส่งมอบไม่ได้ ก็ขอให้คืนเงิน๖๐,๐๐๐ บาท กับค่าเสียหาย ๒๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์
จำเลยที่ ๓ ให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยที่ ๓ รับจำนองที่ดินตามฟ้องไว้โดยสุจริต จำเลยที่ ๓ ไม่รู้และไม่อยู่ในฐานะอันควรรู้ได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้ขายที่ดินรายนี้ให้นายมนัส สุวรรณรัตน์ แล้ว และมิได้รับจำนองไว้เพื่อลวงบุคคลภายนอกให้หลงเชื่อ มิได้หลอกลวงโจทก์ว่าที่ดินตามฟ้องเป็นของจำเลยที่ ๑ ซึ่งจำนองไว้การซื้อขายรายนี้โจทก์กับเจ้าของที่ดินตกลงซื้อขายกันเอง แล้วติดต่อขอชำระหนี้จำนองเพื่อปลดที่ดินรายนี้ให้ปลอดจำนองจำเลยที่ ๓ ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์โจทก์จะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๓ ไม่ได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์ได้รับชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องจากจำเลยอื่นแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ขณะที่นางล้วนลี้จำเลยที่ ๑ จำนองที่พิพาทไว้กับจำเลยที่ ๓ นั้น นางล้วนลี้ได้โอนขายที่พิพาทให้นายมนัสไปก่อนโดยชอบแล้วนางล้วนลี้ผู้จำนองจึงไม่ใช่เจ้าของที่พิพาท ฉะนั้น สัญญาจำนองระหว่างนางล้วนลี้กับจำเลยที่ ๓ จึงไม่มีผลบังคับได้ตามกฎหมาย ความรับผิดของนางล้วนลี้ต่อธนาคารจำเลยที่ ๓ จึงหามีไม่ ฉะนั้น การที่โจทก์มอบเงิน ๖๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลยที่ ๓ ไป เป็นการไถ่ถอนจำนอง และจำเลยที่ ๓ รับไว้จึงเป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมาย และทำให้โจทก์เสียเปรียบเพราะโจทก์ไม่ได้ที่ดินตามคำฟ้องของโจทก์บรรยายไว้ชัดว่าจำเลยที่ ๓ ไม่มีสิทธิอันใดที่จะได้เงินค่าที่ดินไปจากโจทก์ ขอให้จำเลยที่ ๓ คืนเงินให้โจทก์กรณีเป็นที่เห็นได้แล้วว่าโจทก์ขอบังคับจำเลยคืนเงินให้โจทก์ในฐานลาภมิควรได้
พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ ๓ คืนเงินให้โจทก์ ๖๐,๐๐๐ บาท