คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2651/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องคดีอาญาขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คไว้แล้ว ไปฟ้องเป็นคดีแพ่งเรียกให้จำเลยชำระเงินตามเช็คฉบับพิพาทนั้นอีกสำนวนหนึ่ง และต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยยอมใช้เงินตามเช็คฉบับพิพาทให้แก่โจทก์ ศาลได้มี คำพิพากษาตามยอมแล้ว เมื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความได้ระบุไว้ชัดว่า โจทก์ยอมตามจำเลยยอมเลิกคดีเฉพาะส่วนแพ่ง แสดงชัดว่าโจทก์จำเลยมิได้ประสงค์ที่จะยอมเลิกคดีอาญาต่อกัน จึงไม่เป็นผลให้สิทธิของโจทก์ที่จะดำเนินคดีอาญาระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นบริษัทจำกัด เป็นนิติบุคคล มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการ จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันออกเช็คสั่งจ่ายเงินชำระหนี้ค่าซื้อใบยาสูบให้โจทก์โดยรู้อยู่แล้วว่าขณะที่ออกไม่มีเงินในธนาคาร อันจะพึงให้ใช้เงินตามเช็คโดยเจตนาทุจริต และออกเช็คด้วยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค โจทก์นำเช็คดังกล่าวไปขอรับเงินแล้ว ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 3(1) (2) (3)
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 3 (1) (2) (3) ปรับจำเลยที่1 30,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 สามเดือน มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับจำเลยที่ 1 สองหมื่นบาท จำคุกจำเลยที่ 2 สองเดือน แต่ให้กักขังแทน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้อง แต่ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าสิทธิดำเนินคดีอาญาระงับไปแล้วนั้น เห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความได้ระบุไว้ชัดว่า ยอมความกันในส่วนแพ่งเท่านั้น คู่ความไม่ประสงค์จะให้ระงับในทางอาญาด้วย คดีของโจทก์ทางอาญาจึงไม่ระงับไป พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีนี้เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว เมื่อโจทก์จำเลยได้ยอมความกันโดยจำเลยยอมใช้เงินตามเช็คฉบับพิพาทให้แก่โจทก์ในคดีแพ่ง สิทธิของโจทก์ที่จะดำเนินคดีอาญาย่อมระงับไป
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว คดีได้ความว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2513 ต่อมาวันที่ 15 ตุลาคม 2513 โจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลเดียวกัน เรียกให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินตามเช็คฉบับพิพาทให้แก่โจทก์ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 723/2513 ครั้นวันที่ 25 พฤศจิกายน 2513 เวลา 13.30 นาฬิกา จำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ในสำนวนคดีแพ่งดังกล่าวว่า โจทก์จำเลยทั้งสองตกลงยอมความในส่วนแพ่ง โดยจำเลยที่ 1 ยอมใช้เงินตามฟ้อง พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2513 ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ใช้ จำเลยที่ 2 ยอมให้แทน และโจทก์ยอมตามที่จำเลยยอมเลิกคดี เฉพาะส่วนแพ่งกันตั้งแต่วันทำยอมเป็นต้นไป ศาลพิพากษาตามยอมในวันนั้น ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 717/2513 และในวันเดียวกันนั้นเวลา 15.00 นาฬิกา โจทก์ก็ได้เข้าเบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีนี้ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง วันรุ่งขึ้นจำเลยทั้งสองยื่นคำแถลงว่า โจทก์จำเลยยอมความกันในคดีแพ่งแล้ว คดีต้องเลิกกัน ขอให้จำหน่ายคดี ศาลชั้นต้นสั่งว่า โจทก์ยอมความกับจำเลย เฉพาะในคดีแพ่งเท่านั้น คดีอาญาโจทก์ยังประสงค์ดำเนินคดีต่อไป สิทธินำคดีอาญามาฟ้องยังหาระงับไปไม่ แม้จะเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวก็ตาม จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวไว้ ดังนี้
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้คดีนี้จะเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว การที่โจทก์และจำเลยทั้งสองยอมความกันในคดีแพ่งโดยจำเลยทั้งสองยอมใช้เงินตามเช็คฉบับพิพาทให้แก่โจทก์โดยในสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2 ได้ระบุไว้ชัดว่า โจทก์ยอมตามที่จำเลยยอมเลิกคดีเฉพาะส่วนแพ่งนั้น แสดงว่าโจทก์จำเลยมิได้ประสงค์ที่จะยอมเลิกคดีอาญาต่อกัน จึงไม่เป็นผลให้สิทธิของโจทก์ที่จะดำเนินคดีอาญาระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) คำพิพากษาฎีกาที่ 361/2503 ที่จำเลยอ้างข้อเท็จจริง ไม่ตรงกับคดีนี้ ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ยกฎีกา จำเลยทั้งสอง

Share