แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบอ้างว่า ในการปฏิบัติหน้าที่ในการพิจารณาผลการประกวดราคา จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพราะร่วมกันกลั่นแกล้งโจทก์โดยสั่งยกเลิกผลการประกวดราคาดังกล่าว เนื่องจากเรียกเงินเป็นผลประโยชน์ตอบแทนจากโจทก์เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในหน้าที่แล้วแต่โจทก์ไม่ยินยอมให้ อันเป็นการร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนั้น ข้อเท็จจริงตามที่ได้ความดังกล่าวจึงเท่ากับกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยละเมิดทำให้โจทก์เสียหาย ดังนี้ โจทก์ต้องฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐโดยตรงแต่ผู้เดียวให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 แต่ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ให้รับผิดเป็นการเฉพาะตัวตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ มาตรา 5
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งยกเลิกการประกวดราคาของจำเลยที่ 2 และให้จำเลยที่ 2 มีคำสั่งอนุมัติจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคารที่ทำการของจำเลยที่ 1 กับให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจ้างโจทก์ในวงเงินที่โจทก์ประมูลได้เป็นเงินจำนวน 1,060,000 บาท หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งห้าให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 25 พฤษภาคม 2542) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นประธานกรรมการบริหารมีอำนาจกระทำการแทน และมีจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 เป็นกรรมการบริหาร เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2542 จำเลยที่ 1 ได้ออกประกาศเชิญชวนให้บุคคลทั่วไปเข้าประกวดราคาจ้างเหมาก่อสร้างที่ทำการของจำเลยที่ 1 กำหนดยื่นซองและเปิดซองในวันเดียวกันคือในวันที่ 12 พฤษภาคม 2542 ณ ที่ทำการชั่วคราวของจำเลยที่ 1 ตามประกาศองค์การบริหารส่วนตำบลทรัพย์พระยา เรื่อง ประกวดราคาจ้างก่อสร้างที่ทำการของจำเลยที่ 1 ในวันดังกล่าว โจทก์กับบุคคลอื่นอีก 4 รายได้ยื่นซองประกวดราคา ปรากฏว่าโจทก์เสนอราคาต่ำที่สุดเป็นเงิน 1,060,000 บาท แต่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากจำเลยที่ 2 เสนอความเห็นให้ยกเลิกการประกวดราคาจ้างเหมาดังกล่าว และจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 สั่งไม่อนุมัติการประกวดราคาด้วยเหตุผลว่ามีการสมยอมกัน ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมกันยกเลิกการประกวดราคาจ้างเหมาก่อสร้างที่ทำการของจำเลยที่ 1 ในขณะที่ยังไม่น่าเชื่อว่ามีพฤติการณ์สมยอมกันเสนอราคา เป็นการกระทำโดยมิชอบอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 จึงต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ แต่การกระทำของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ดังกล่าวไม่อยู่ในขอบวัตถุประสงค์หรืออำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลจึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 พิพากษายกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 1 โจทก์ไม่อุทธรณ์ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นการฟ้องเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ต้องอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 5 วรรคหนึ่ง ซึ่งห้ามมิให้ฟ้องเจ้าหน้าที่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 แล้วพิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ด้วย โจทก์ยื่นฎีกาขอให้พิพากษาบังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นสั่งฎีกาโจทก์ว่า ฎีกาโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 1 โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในชั้นศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามฎีกาส่วนฎีกาในส่วนของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ที่โจทก์โต้แย้งว่ากระทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ร่วมรับผิดใช้ค่าเสียหายเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่มีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกา ศาลชั้นต้นให้รับฎีกาโจทก์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์โต้แย้งว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำลยที่ 2 ถึงที่ 5
คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ให้รับผิดเป็นการเฉพาะตัวหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบอ้างว่า ในการปฏิบัติหน้าที่ในการพิจารณาผลการประกวดราคา จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพราะร่วมกันกลั่นแกล้งโจทก์โดยสั่งยกเลิกผลการประกวดราคาดังกล่าว เนื่องจากเรียกเงินเป็นผลประโยชน์ตอบแทนจากโจทก์เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในหน้าที่แล้ว แต่โจทก์ไม่ยินยอมให้ อันเป็นการร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนั้น ข้อเท็จจริงตามที่ได้ความดังกล่าวจึงเท่ากับกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยละเมิดทำให้โจทก์เสียหาย ดังนี้ โจทก์ต้องฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐโดยตรงแต่ผู้เดียวให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายในการกระทำโดยละเมิดของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 แต่ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ให้รับผิดเป็นการเฉพาะตัวตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 5 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ