แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์รู้เรื่องความผิดที่กล่าวหาว่าจำเลยหมิ่นประมาทเปิดเผยความลับและทำให้เสียทรัพย์และรู้ตัวผู้กระทำผิดตั้งแต่วันที่ 1กรกฎาคม 2510 แล้วโจทก์มาฟ้องคดีขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 322, 358 เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2510 เกินกำหนด 3 เดือน โดยโจทก์มิได้ร้องทุกข์ไว้คดีของโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 96
ศาลแขวงวินิจฉัยคดีข้อหาฐานลักทรัพย์ว่าการกระทำของจำเลยยังฟังไม่ได้ว่ากระทำโดยทุจริต พอแปลความหมายได้ว่าพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง จทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยเอาทรัพย์ไปด้วยเจตนาทุจริตเป็นลักทรัพย์ เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงอยู่แล้ว เมื่อมีฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดกฎหมายหลายบทหลายกระทง ต่างกรรมต่างวาระกัน คือ เมื่อระหว่างวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๑๐ ถึงวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๑๐ จำเลยกล่าวด้วยวาจาและรายงานเป็นหนังสือหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามเมื่อระหว่างวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๑๐ ถึงวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๑๐ จำเลยได้บังอาจเปิดผนึกจดหมายปิดผนึกที่ผู้อื่นมีถึงโจทก์เพื่อล่วงรู้ข้อความนำข้อความในจดหมายออกเปิดเผยโฆษณา และเมื่อระหว่างวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๑๐ ถึงวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๑๐ จำเลยบังอาจทำให้เสียหายซ่อนเร้น เอาไปเสีย ซึ่งบรรดาจดหมายที่มีไปถึงโจทก์โดยจำเลยไม่มีอำนาจจะกระทำได้ การกระทำของจำเลยดังกล่าวทำให้โจทก์เสียหายต้องเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังและเป็นการสกัดกั้นความก้าวหน้าทางราชการของโจทก์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖, ๓๒๘, ๓๒๒, ๓๕๘ และ ๓๓๔
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีมีมูล
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖, ๓๒๘, ๓๒๒ และ ๓๕๘ ให้ลงโทษตามมาตรา ๓๕๘ ซึ่งเป็นกระทงหนักตามมาตรา ๙๑ จำคุก ๑ เดือน และปรับ ๑,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ในกำหนด ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ บังคับค่าปรับตามมาตรา ๒๙, ๓๐
โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยเอาจดหมายส่วนตัวของโจทก์ไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ด้วยเจตนาทุจริตเป็นการลักทรัพย์ ขอให้เพิ่มโทษจำเลยให้หนักขึ้นไม่ควรรอการลงโทษ
จำเลยอุทธรณ์ว่า หลักฐานโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดคดีโจทก์เฉพาะที่เป็นความผิดต่อส่วนตัวขาดอายุความฟ้องร้องแล้ว
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า นับแต่วันที่โจทก์รู้เรื่องความผิด และรู้ตัวผู้กระทำผิดถึงวันที่โจทก์ฟ้องเป็นเวลาเกิน ๓ เดือน คดีโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องร้อง ส่วนข้อหาฐานลักทรัพย์ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ แต่มิได้พิพากษาในข้อหาฐานลักทรัพย์ประการใด พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ทุกข้อหา
โจทก์ฎีกาว่าคดีของโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความตามที่โจทก์นำสืบว่า เมื่อประมาณเดือนธันวาคม ๒๕๐๙ โจทก์รับราชการตำแหน่งเลขานุการตรีประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ เมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย โดยมีจำเลยเป็นเลขานุการเอกทำหน้าที่เป็นอุปทูตและกงสุลและเป็นผู้บังคับบัญชาโจทก์ โจทก์อยู่ประเทศซาอุดิอาระเบียได้ ๖ เดือน กระทรวงการต่างประเทศเรียกตัวกลับ ได้เดินทางมาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๑๐ และกระทรวงการต่างประเทศได้ตั้งกรรมการสอบสวนโจทก์ในข้อหาว่ามีหนี้สินรุงรัง ไม่อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ทุจริตต่อหน้าที่และใช้สถานทูตไทยทำการค้าในที่สุดกระทรวงการต่างประเทศสั่งตัดเงินเดือนโจทก์ ๒๐ % มีกำหนด ๔ เดือน
ที่โจทก์อ้างว่า โจทก์เพิ่งรู้ว่าจำเลยเป็นคนรายงานกล่าวโทษโจทก์เมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๑๐ โดยนางสาวพาสนาคนรับใช้จำเลยที่เมืองเจดดาห์เล่าให้ฟังและโจทก์เคยขอดูข้อกล่าวหาของจำเลยจากกระทรวงการต่างประเทศแต่กระทรวงการต่างประเทศไม่ยอมนั้น ขัดกับจดหมาย (เอกสารหมาย ล.๑) ลงวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๑๐ ที่โจทก์มีไปถึงจำเลยซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งว่า “ขอขอบคุณอาจารย์ (หมายถึงจำเลย) ได้ช่วยรายงานเท็จเกี่ยวกับตัวผมเข้ากระทรวงฯ เป็นเหตุให้ผมถูกเรียกกลับ ฯลฯ ผมเองก็หนักใจเหลือเกินเกี่ยวกับข้อหาฉกรรจ์ ๔ ข้อที่อาจารย์รายงานไป …. ฯลฯ และหลักฐานที่อาจารย์แอบถ่ายรูปส่งไปกระทรวงฯ ก็ยิ่งมัดผมแน่นแฟ้น …. ฯลฯ ….ข้อหาแต่ละข้อที่อาจารย์รายงานไปทุกข้อร้ายแรงจนผมจะต้องถูกออกจากราชการทั้งนั้น ….ฯลฯ ….”ตามจดหมายที่โจทก์มีไปถึงจำเลยดังกล่าวน่าเชื่อว่าโจทก์รู้เรื่องความผิดที่กล่าวหาว่าจำเลยหมิ่นประมาท เปิดเผยความลับและทำให้เสียทรัพย์ จากรายงานของจำเลยลงวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๑๐ (เอกสารหมาย จ.๒๓) พร้อมด้วยเอกสารที่ส่งมากับรายงานนั้น โจทก์จึงได้แจ้งไปยังจำเลยว่า หลักฐานที่จำเลยแอบถ่ายรูปส่งไปกระทรวงการต่างประเทศก็ยิ่งมัดโจทก์แน่นแฟ้น และรู้ตัวผู้กระทำผิดอย่างช้าก็ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๑๐ แล้ว โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๐ เกินกำหนด ๓ เดือน โดยโจทก์มิได้ร้องทุกข์ไว้ต่อเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๖ คดีจึงขาดอายุความดังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์
สำหรับข้อหาฐานลักทรัพย์ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำโดยทุจริต และโจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยเอาจดหมายของโจทก์ไปโดยไม่ได้รับอนุญาตและด้วยเจตนาทุจริตเป็นการลักทรัพย์โดยชัดแจ้ง แต่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยให้ คงกล่าวเพียงว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ดังโจทก์ฟ้องศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยยังฟังไม่ได้ว่ากระทำโดยทุจริตนั้นพอแปลได้ว่าพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานลักทรัพย์ ศาลอุทธรณ์น่าจะได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ แต่อย่างไรก็ดีข้อหาฐานลักทรัพย์นั้น ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้กระทำโดยทุจริตจึงเป็นการยกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์จะอุทธรณ์ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตไม่ได้ ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๒๒ อยู่แล้วศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้
พิพากษายืน