คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1640/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเคยทำหนังสือสัญญาจะขายที่ดินที่พิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 1717 ของโจทก์ให้แก่ ด. มีข้อความในสัญญาจะขายว่าผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อมีสิทธิครอบครองเหนือที่ดินแปลงนี้และเข้าทำประโยชน์ได้ทุกอย่าง ผู้ขายจะไปทำการรังวัดแบ่งแยกชี้แนวเขตให้กับผู้ซื้อนั้นแม้จำเลยรู้ว่า ด. นำที่ดินดังกล่าวไปจัดสรรแบ่งขายตลอดจนกระทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินเป็นแปลง ๆ ในนามของจำเลยก็ดี ไม่พอที่จะถือว่าจำเลยเชิด ด. เป็นตัวแทนจัดสรรที่ดิน การรังวัดแบ่งแยกเป็นเรื่องที่จำเลยปฏิบัติตามสัญญา ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ไปทำการรังวัดแบ่งแยกให้ ด.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๗๑๗ ได้ตกลงยินยอมให้นายเดชน์ อัคนทัต เป็นตัวแทนเชิดนำที่ดินดังกล่าวไปจัดสรรแบ่งเป็นแปลง ๆ โดยใช้ชื่อว่า หมู่บ้านสันติสุข แต่โฆษณาว่าเป็นการให้ที่ดินเปล่า ผู้ประสงค์จะได้ที่ดินต้องช่วยออกเงินค่าถนนโจทก์ตกลงซื้อที่ดินไว้จากนายเดชน์ ๔ แปลง ชำระราคาแล้วนายเดชน์ทำสัญญาอำพรางว่า โจทก์ชำระเงินเป็นค่าว่าจ้างให้นายเดชน์ทำถนนและตกลงจะโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ เมื่อสำนักงานที่ดินแบ่งเขตโฉนดแล้ว ต่อมาด้วยเส่ห์เพทุบายจำเลยอ้างว่าได้ฟ้องเลิกสัญญาจะซื้อขายกับนายเดชน์แล้ว จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์
จำเลยให้การรับว่าเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๗๑๗ จริง แต่ไม่ได้ทำการจัดสรรแบ่งขายที่ดิน ไม่ว่าด้วยตนเองหรือเชิดให้ผู้ใดเป็นตัวแทนและไม่ทราบไม่รู้เห็นเกี่ยวกับโฆษณาของนายเดชน์ โจทก์จ่ายเงินให้นายเดชน์เป็นค่าจ้างทำถนน ไม่ใช่เป็นค่าที่ดินทั้งไม่ใช่นิติกรรมอำพรางฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษา สัญญาเอกสารหมาย จ.๓ ระบุชัดว่าเป็นสัญญาว่าจ้างทำถนน การที่จะเป็นนิติกรรมอำพรางต้องมีนิติกรรม ๒ ฉบับ ทำนิติกรรมฉบับหนึ่งขึ้นเพื่อเป็นการอำพรางอีกฉบับหนึ่งซึ่งไม่ประสงค์จะเปิดเผย คู่กรณีไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินซึ่งเป็นนิติกรรมอันที่ว่าถูกอำพรางไว้ จึงมิใช่กรณีทำนิติกรรมอำพรางไม่จำต้องวินิจฉัยข้ออื่นต่อไป ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ควรจะยกประเด็นที่ว่า นายเดชน์เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยก่อน และพิพากษาว่าจำเลยได้ทำสัญญาจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๗๑๗ ให้นายเดชน์จริง ต่อมานายเดชน์ผิดสัญญาจำเลยฟ้องขับไล่นายเดชน์และทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยนายเดชน์ยอมชำระเงินให้จำเลยแล้วจำเลยยอมโอนที่ดินให้นายเดชน์แต่ต่อมานายเดชน์ไม่ชำระเงินให้ทั้งในสัญญาระบุว่าผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อมีสิทธิครอบครองเหนือที่ดินแปลงนี้ และเข้าทำประโยชน์ได้ทุกอย่างจึงไม่น่าเชื่อว่าเมื่อโจทก์สอบถามจำเลย จำเลยว่านายเดชน์เป็นผู้จัดการแทน แม้จำเลยรู้ว่านายเดชน์นำที่ดินไปจัดสรรแบ่งขายตลอดจนการรังวัดแบ่งแยกที่ดินเป็นแปลง ๆ กระทำในนามของจำเลย ก็หาพอที่จะถือว่าจำเลยเชิดนายเดชน์เป็นตัวแทนจัดสรรที่ดินนี้ไม่ การรังวัดแบ่งแยกก็เป็นเรื่องที่จำเลยปฏิบัติตามสัญญา ซึ่งกำหนดให้จำเลยมีหน้าที่ทำการขอรังวัดแบ่งแยกให้นายเดชน์ผู้ซื้อ จำเลยไม่ต้องรับผิดคืนเงินหรือโอนที่ดินให้โจทก์ตามสัญญาที่นายเดชน์ทำไว้กับโจทก์ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่น
พิพากษายืน

Share