คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3153/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 4 ไปศึกษาต่อต่างประเทศก่อนโจทก์ฟ้องหลายปี มีครอบครัวและประกอบอาชีพอยู่ต่างประเทศ แต่จำเลยที่ 4 ยังมีสัญชาติไทย มีชื่อในทะเบียนบ้านตามที่โจทก์บรรยายไว้ในคำฟ้องและเคยเดินทางกลับมาประเทศไทยหลายครั้ง ถือว่าจำเลยที่ 4 ยังมีภูมิลำเนาในประเทศไทยตามทะเบียนบ้านนั้น การส่งคำบังคับให้แก่จำเลยที่ 4 ตามภูมิลำเนาดังกล่าวโดยการปิดคำบังคับจึงเป็นการส่งโดยชอบ จำเลยที่ 4 เพิ่งยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่เมื่อพ้นกำหนด6 เดือนไปแล้ว นับแต่วันยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 4 จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคแรก.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ให้ชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายตั๋วเงินและสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินให้โจทก์ ต่อมาจำเลยทั้งสี่ไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 4 เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2530
จำเลยที่ 4 ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2531อ้างเหตุว่าจำเลยที่ 4 ไปอยู่ต่างประเทศ ไม่ทราบว่าถูกฟ้องคดีหากทราบว่าถูกฟ้องคดีก็สามารถพิสูจน์ความไม่ถูกต้องของพยานหลักฐานโจทก์ได้
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องแล้ว วินิจฉัยว่า คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 4 ไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงซึ่งจะแสดงให้เห็นชัดแจ้งว่า หากมีการพิจารณาคดีใหม่แล้ว จำเลยที่ 4 อาจชนะคดีได้อย่างไร คำขอให้พิจารณาใหม่จึงมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคท้าย ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 4 อุทธรณ์คำสั่งว่า คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 4ได้บรรยายครบถ้วนชัดแจ้งแล้ว และขณะโจทก์ดำเนินคดีนี้จำเลยที่ 4ไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 4 ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ต่อศาลชั้นต้นเมื่อพ้นกำหนด 1 เดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์เป็นการพ้นกำหนดระยะเวลาที่จะยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 แล้ว ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 4 ได้บรรยายครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคท้ายหรือไม่ที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องศาลอุทธรณ์เห็นด้วยในผล พิพากษายืน
จำเลยที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “แม้จำเลยที่ 4 ไปศึกษาต่อต่างประเทศก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นเวลาหลายปี มีครอบครัวและประกอบอาชีพอยู่ต่างประเทศ แต่จำเลยที่ 4 ยังมีสัญชาติไทย มีชื่อในทะเบียนบ้านตามที่โจทก์บรรยายไว้ในคำฟ้องและเคยเดินทางกลับมาประเทศไทยหลายครั้งถือว่าจำเลยที่ 4 ยังมีภูมิลำเนาในประเทศไทยตามทะเบียนบ้านนั้นการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง หมายแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ตลอดจนคำบังคับให้แก่จำเลยที่ 4 ตามภูมิลำเนาดังกล่าวโดยการปิดหมายและคำบังคับจึงเป็นการส่งโดยชอบ คดีนี้พนักงานเดินหมายได้ไปปิดคำบังคับ ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 4 ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2527 ปรากฏตามรายงานการเดินหมายลงวันที่ 12ธันวาคม 2527 จึงถือว่าได้มีการส่งคำบังคับให้แก่จำเลยที่ 4โดยชอบแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ไปยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 4เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2530 ปรากฏตามรายงานขออนุญาตขายทอดตลาดทรัพย์ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2530 ในสำนวน จำเลยที่ 4เพิ่งมายื่นคำขอให้พิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2531 ซึ่งพ้นกำหนด 6 เดือนไปแล้วนับแต่วันยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 4 จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคแรก…”
พิพากษายืน.

Share