แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มารดาโจทก์ผู้เยาว์ได้เสียเป็นสามีภรรยากับจำเลยผู้เป็นบิดาโจทก์โดยมิได้จดทะเบียนสมรส และมารดาโจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยว่าได้รับเงินจากจำเลยแล้ว จะไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยและจะไม่ใช้สิทธิเรียกร้องแทนโจทก์ต่อจำเลยอีก ดังนี้ เมื่อมารดาโจทก์ทำสัญญานั้นไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล สัญญานั้นย่อมไม่มีผลผูกพันถึงโจทก์ด้วยโจทก์โดยมารดาซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมจึงมีอำนาจฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นบุตรของจำเลย และให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูกับค่าใช้จ่ายในการศึกษาได้ และการฟ้องเช่นนี้เป็นเรื่องมารดาของโจทก์ฟ้องแทนโจทก์ซึ่งเป็นผู้เยาว์ตามนัยมาตรา 1529 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จึงมีอำนาจฟ้องได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 1534
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นางจรูญศรี จารุสุข มารดาโจทก์กับจำเลยได้เสียเป็นสามีภรรยากันโดยมิได้จดทะเบียนสมรส เกิดบุตร ๑ คน คือโจทก์จากนั้นจำเลยได้แสดงพฤติการณ์ให้เป็นที่รู้กันทั่วไปตลอดมาว่าโจทก์เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น ให้ค่าอุปการะ เลี้ยงดู ให้การศึกษาโดยจำเลยตกลงให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ ๓๐๐ บาท ค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายในการศึกษา ๓ ภาค ปีละ ๒,๖๐๐ บาท เมื่อเดือนตุลาคม๒๕๑๐ จำเลยได้งดจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายในการศึกษาให้โจทก์ จึงขอให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นบุตรของจำเลยให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ ๓๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะสำเร็จการศึกษา กับค่าใช้จ่ายในการศึกษาภาคกลางและภาคปลายของปี ๒๕๑๐ ภาค ๘๐๐ บาท
จำเลยให้การว่า เด็กหญิงติ๋ว จารุสุข ไม่ใช่บุตรจำเลย จำเลยไม่เคยรับรองว่าเป็นบุตร และไม่เคยให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาเลย นางจรูญศรี จารุสุข มารดาผู้แทนโจทก์ไม่ได้เป็นภรรยาจำเลยกับตัดฟ้องว่าเพราะเหตุที่นางจรูญศรีได้กล่าวอ้างว่าเด็กหญิงติ๋วเป็นบุตรที่เกิดจากจำเลย และรบกวนความสงบสุขอยู่ตลอดมาเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๐๓ ในฐานะที่นางจรูญศรีเป็นมารดาผู้ปกครองเด็กหญิงติ๋วได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยและรับค่าตอบแทนไปแล้วโดยสัญญาว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยไม่ว่าในฐานะส่วนตัวหรือแทนบุตรดังสำเนาสัญญาท้ายคำให้การ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย โจทก์อ้างในฟ้องว่าเป็นบุตรของจำเลยประการหนึ่งหรือหากศาลพิจารณาได้ความว่าโจทก์เป็นบุตรจำเลยประการหนึ่งก็ถือได้ว่าโจทก์ฟ้องบุพการี ขอให้ยกฟ้อง
ในวันชี้สองสถาน โจทก์รับว่าได้ลงลายมือชื่อไว้ในข้อตกลงตามเอกสาร ล.๑ และได้รับเงินไปจริง ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงให้งดสืบพยานทั้งสองฝ่ายและวินิจฉัยว่า เอกสาร ล.๑ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความระงับข้อพิพาทระหว่างจำเลยกับนางจรูญศรีทั้งในฐานะส่วนตัวของนางจรูญศรีเองและในฐานะแทนโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง นอกจากนี้โจทก์ได้บรรยายฟ้องโดยชัดแจ้งว่าโจทก์เป็นบุตรของจำเลยอันถือได้ว่าจำเลยเป็นบุพการีของโจทก์ ต่อไปถ้าศาลฟังว่าจำเลยเป็นบิดาของโจทก์แล้วโจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๓๔ พิพากษายกฟ้องทุกข้อหา แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะดำเนินคดีอย่างอื่นต่อไปตามสิทธิอันโจทก์พึงมี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เอกสาร ล.๑ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่มารดาโจทก์ทำไว้กับจำเลย เพื่อระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ แต่สัญญานี้นางจรูญศรีไม่มีอำนาจทำแทนโจทก์เพราะศาลมิได้อนุญาตหาผูกพันโจทก์ไม่ เพราะขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๔๖(๔๐) ส่วนที่ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะจำเลยเป็นบุพการีของโจทก์ ต้องห้ามตามมาตรา ๑๕๓๔ นั้น เห็นว่าจะนำมาตราดังกล่าวมาปรับกับคดีฟ้องขอให้รับเด็กเป็นบุตรไม่ได้ เพราะมาตรา ๑๕๒๙ บัญญัติให้เด็กฟ้องได้ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ดำเนินการสืบพยานต่อไป แล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อพิจารณาคำฟ้องของโจทก์ตลอดจนคำขอท้ายฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีนี้เป็นเรื่องนางจรูญศรีมารดาของเด็กหญิงติ๋วผู้เยาว์เป็นโจทก์ฟ้องแทนเด็กหญิงติ๋วตามนัยมาตรา ๑๕๒๙ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงมีอำนาจฟ้องได้ เอกสาร ล.๑ ซึ่งมีความว่า “ข้าพเจ้าจะไม่เกี่ยวข้องกับร้อยตำรวจโทณรงค์ บูรณบูลย์และจะไม่ใช้สิทธิเรียกร้องแทนบุตรของข้าพเจ้าต่อร้อยตำรวจโทณรงค์ฯอีกด้วย ข้าพเจ้าได้รับเงิน ๕,๐๐๐ บาท จากร้อยตำรวจโทณรงค์ฯ เป็นการตอบแทนไปแล้ว นับแต่วันนี้ไปจะไม่เกี่ยวข้องกับร้อยตำรวจโทณรงค์ในฐานะใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งในฐานะส่วนตัวและในฐานะแทนเด็กที่อ้างว่าเกิดจากร้อยตำรวจโทณรงค์ฯ นั้น ฟังได้เพียงว่าเป็นหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งมีผลผูกพันเฉพาะนางจรูญศรีกับจำเลยเท่านั้น หามีผลผูกพันถึงเด็กหญิงติ๋วไม่ เพราะส่วนที่เกี่ยวกับเด็กหญิงติ๋วนั้นนางจรูญศรีไม่มีอำนาจทำแทนได้เพราะไม่ได้รับอนุญาตจากศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๔๖(๔) โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน