แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อจำเลยทั้งสองยื่นคำให้การ ปรากฏตามคำให้การข้อ 2 ว่าไม่รับรองข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ โดยอ้างว่าบริษัทจำเลยที่ 1ได้จ่ายเงินให้นายย่งกิตต์ตัวแทนโดยปริยายของบริษัทโจทก์ไปหลายครั้ง แต่ไม่ทราบจำนวนเงินที่จะบรรยายให้การละเอียดมาในขณะนี้ได้ทันจะต้องใช้เวลาตรวจสอบทางธนาคารและหลักฐานต่าง ๆ ซึ่งแสดงว่าจำเลยยังมีข้อต่อสู้อย่างอื่นอีกโดยจำเลยยังไม่อาจยื่นได้ก่อนวันชี้สองสถาน ครั้นเมื่อศาลชี้สองสถานแล้วจำเลยจึงยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การว่าจากการตรวจสอบปรากฏว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินให้บริษัทโจทก์ใน พ.ศ. 2503 โดยเช็ค 4 ฉบับเป็นเงิน 1,750,000บาท รายละเอียดตามคำร้อง และนายย่งกิตต์ได้รับเงินตามเช็คฉบับดังกล่าวไปจากธนาคารแล้ว จำนวนหนี้ตามฟ้องจึงเกินอยู่ 1,750,000 บาท ความตามที่ขอแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยเพิ่งทราบภายหลังจากการชี้สองสถานแล้ว ฉะนั้นจำเลยจึงมีสิทธิขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การหลังจากชี้สองสถานแล้วได้เพราะเป็นข้อที่จำเลยไม่อาจยื่นคำร้องนั้นได้ก่อนวันชี้สองสถาน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้4,253,705 บาท
จำเลยทั้งสองให้การว่า บริษัทจำเลยที่ 1 ได้จ่ายเงินให้แก่นายย่งกิตต์ซึ่งเป็นตัวแทนโดยปริยายของโจทก์หลายครั้งแต่จำนวนเงินจำเลยไม่สามารถให้การในขณะนี้ได้ทันเพราะจะต้องใช้เวลานานในการตรวจสอบหลักฐานทางธนาคารและทางบริษัทจำเลยที่ 1 เพราะนายย่งกิตต์เป็นผู้จ่ายเงินแทนจำเลยที่ 1 และรับเงินแทนบริษัทโจทก์และเป็นผู้ทำเพทุบายในการทำสัญญาผูกมัดบริษัทจำเลยที่ 1 ให้รับผิดต่อโจทก์ด้วยประการต่าง ๆ ซึ่งจำเลยจะได้ยื่นคำให้การเพิ่มเติมต่อไปก่อนวันชี้สองสถาน ฯลฯ
ในวันนัดชี้สองสถาน จำเลยขอเลื่อนการชี้สองสถานอ้างว่า จำเลยได้ไปติดต่อธนาคารขอทราบรายละเอียดการรับและจ่ายเงินในบัญชีของบริษัทจำเลย และขอตรวจสมุดทะเบียนบริษัทที่สถานีตำรวจกองปราบยังไม่ได้ผลเรียบร้อย เพราะทางธนาคารยังคิดบัญชีไม่เสร็จ
ศาลชั้นต้นสั่งว่า เหตุที่ยกขึ้นอ้างไม่ใช่เหตุที่จะอนุญาตให้เลื่อนการชี้สองสถานไปได้ให้ยกคำร้อง แล้วทำการชี้สองสถานในวันนั้น
หลังจากชี้สองสถานแล้ว จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การว่าจากการตรวจสอบปรากฏว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินให้บริษัทโจทก์ใน พ.ศ. 2503 โดยเช็ค 4 ฉบับเป็นเงิน 1,750,000 บาท ปรากฏรายละเอียดตามคำร้องและนายย่งกิตต์ โสธิกุล ตัวแทนโดยบริยายของบริษัทโจทก์ได้รับเงินตามเช็ค 4 ฉบับดังกล่าวไปจากธนาคารแล้ว จำนวนหนี้ตามฟ้องจึงเกินอยู่ 1,750,000 บาท
ครั้งแรก ศาลชั้นต้นสั่งว่า อนุญาตให้จำเลยแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การได้ต่อมาในระหว่างสืบพยานจำเลย ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การภายหลังวันชี้สองสถานและคดีไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ฯลฯ จึงให้เพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้จำเลยแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การตามคำร้องของจำเลย ลงวันที่ 10 มิถุนายน 2510 ถ้อยคำพยานจำเลยที่สืบมาแล้วเกี่ยวกับประเด็นตามคำร้องที่แก้ไขเพิ่มเติมก็ให้เพิกถอนทุกตอน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยร่วมกันชำระเงิน 4,243,705 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งดังกล่าวข้างต้นและคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาตามประเด็นที่จำเลยร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การฉบับลงวันที่ 14 มิถุนายน 2510 แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยทั้งสองยื่นคำให้การ ปรากฏตามคำให้การข้อ 2 ว่าไม่รับรองข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ โดยอ้างว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ได้จ่ายเงินให้นายย่งกิตต์ตัวแทนโดยบริยายของบริษัทโจทก์ไปหลายครั้ง แต่ไม่ทราบจำนวนเงินที่จะบรรยายให้การละเอียดมาในขณะนี้ได้ทัน จะต้องใช้เวลาตรวจสอบทางธนาคารและหลักฐานต่าง ๆ ซึ่งแสดงว่าจำเลยยังมีข้อต่อสู้อย่างอื่นอีก โดยจำเลยยังไม่อาจยื่นได้ก่อนวันชี้สองสถาน ครั้นเมื่อศาลชี้สองสถานแล้ว จำเลยจึงยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การว่าจากการตรวจสอบปรากฏว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินให้บริษัทโจทก์ใน พ.ศ. 2503 โดยเช็ค 4 ฉบับเป็นเงิน 1,750,000 บาท รายละเอียดตามคำร้องและนายย่งกิตต์ได้รับเงินตามเช็ค 4 ฉบับดังกล่าวไปจากธนาคารแล้ว จำนวนหนี้ตามฟ้องจึงเกินอยู่ 1,750,000 บาท ความตามที่ขอแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยเพิ่งทราบภายหลังจากการชี้สองสถานแล้ว ฉะนั้นจำเลยจึงมีสิทธิขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การหลังจากชี้สองสถานแล้วได้เพราะเป็นข้อที่จำเลยไม่อาจยื่นคำร้องนั้นได้ก่อนวันชี้สองสถานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180(2)
พิพากษายืน