คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1017/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องซึ่งบรรยายฐานะของโจทก์ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ (ระบุยี่ห้อและเลขหมายทะเบียน) แต่กรรมสิทธิ์ยังไม่สมบูรณ์ เพราะอยู่ในระหว่างผ่อนชำระเงินตามสัญญาเช่าซื้อที่ทำไว้กับบริษัทผู้ให้เช่าซื้อ เป็นคำฟ้องซึ่งแจ้งชัดแล้ว หาเคลือบคลุมไม่
โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์ ตามสัญญาเช่าซื้อระบุว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องเป็นผู้จัดการซ่อมแซมรถให้คืนสู่สภาพเดิมโดยทุนทรัพย์ของโจทก์เองและผู้ให้เช่าซื้อยินยอมให้โจทก์มีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายในนามของโจทก์ได้อีกด้วย ดังนี้ เมื่อมีผู้ทำละเมิดทำให้รถที่โจทก์เช่าซื้อเสียหาย โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ทำละเมิดได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ฟอร์ดแองเกลียทะเบียน ก.ท.ร. ๑๘๑๕๔ แต่กรรมสิทธิ์ยังไม่สมบูรณ์ เพราะอยู่ในระหว่างผ่อนชำระเงินตามสัญญาเช่าซื้อที่ทำไว้กับบริษัทอุตสาหกรรมไทยมอเตอร์ จำกัด แต่ในระหว่างผ่อนชำระราคาค่าเช่าซื้อหากมีความเสียหายเกิดขึ้นแก่รถยนต์โจทก์จะต้องรับผิดซ่อมแซมให้สู่สภาพเดิม และถ้าจะมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายเนื่องจากการทำละเมิดเกี่ยวกับรถยนต์ ผู้ให้เช่าซื้อยอมให้โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ทำละเมิดในนามของตนเองได้ จำเลยที่ ๑, ๒ เป็นผู้ขับขี่รถยนต์แท็กซี่คนละคัน ซึ่งได้ประกันภัยค้ำจุนไว้ต่อจำเลยที่ ๓ จำเลยได้ขับรถโดยประมาทชนรถโจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑, ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การ และขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๓ ต่อสู้ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและฟ้องเคลือบคลุมค่าเสียหายที่โจทก์ต้องเช่ารถยนต์ไปทำงานและค่าเสื่อมราคา จำเลยไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์รวม ๑๑,๒๑๒ บาท โดยให้จำเลยที่ ๓ รับผิดเพียง ๘,๒๙๗ บาท (เฉพาะค่าซ่อม) เท่านั้น ให้จำเลยร่วมกันใช้ดอกเบี้ยในต้นเงินดังกล่าว
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะบรรยายฟ้องไม่ชัดเจนว่าฟ้องในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือในฐานะผู้เช่าซื้อผู้ได้รับความเสียหายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ชัดเจนว่าโจทก์เป็นเจ้าของรถคันพิพาทแต่ยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์กันเพราะอยู่ในระหว่างผ่อนชำระเงินตามสัญญาเช่าซื้อกับบริษัทอุตสาหกรรมไทยมอเตอร์ฟ้องโจทก์แสดงไว้โดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว หาเคลือบคลุมไม่
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ผู้ที่จะเป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้ได้ คือ บริษัทอุตสาหกรรมไทยมอเตอร์ โจทก์มาฟ้องในนามตนเอง จึงไม่มีอำนาจฟ้อง นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องในนามตนเองได้เพราะตามสัญญาเช่าซื้อ โจทก์มีหน้าที่ต้องเป็นผู้จัดการซ่อมแซมรถให้คืนสู่สภาพเดิมโดยทุนทรัพย์ของโจทก์เอง และบริษัทผู้ให้เช่าซื้อยินยอมให้โจทก์มีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายในนามของโจทก์ได้อีกด้วยโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ทำละเมิดต่อรถยนต์คันดังกล่าวได้
ในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยที่ ๑, ๒ ขับรถโดยประมาทชนรถโจทก์เสียหายจริง และค่าซ่อมรถตามที่ศาลล่างกำหนดให้ จำเลยที่ ๓ รับผิดชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share