คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2143/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายมีเจตนาทำร้ายจำเลยให้ถึงตาย ใช้เหล็กแหลมยาว12 นิ้วฟุตแทงจำเลยในขณะที่จำเลยนอนหงาย จำเลยใช้มุ้งปัดป้องเหล็กแหลมหลุดจากมือผู้เสียหายติดกับมุ้งจำเลยจึงถือเหล็กแหลมนั้นไว้ ผู้เสียหายเอาเหล็กแหลมอีกอันหนึ่งตรงเข้าหาจำเลยแล้วกอดปล้ำกัน การที่จำเลยแทงผู้เสียหายในขณะที่ผู้เสียหายมีอาวุธอยู่ในมือขณะกอดปล้ำกันเช่นนี้ แม้จำเลยจะแทงผู้เสียหายหลายแผล บางแผลลึกเข้าช่องท้อง การกระทำของจำเลยดังนี้ นับได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุ

ย่อยาว

คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันมากับสำนวนคดีที่นายสวนหรือสนามเผือกพันธ์ เป็นจำเลย โดยคำฟ้องมีข้อความสำคัญต้องกันว่า เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2510 เวลากลางวัน จำเลยมีหลาวเหล็กแหลมเป็นอาวุธ นายสวนหรือสนามมีของแข็งเป็นอาวุธร่วมกันตีและแทงทำร้ายนายเสงี่ยม ผ่องฉวี เกิดอันตรายแก่กายหลายแห่ง โดยเจตนาฆ่า แต่ไม่บรรลุผลโดยมีผู้จับกุมจำเลยเสียก่อนและแพทย์ได้รักษาบาดแผลของนายเสงี่ยมไว้ทันท่วงที นายเสงี่ยมจึงไม่ถึงแก่ความตาย เพียงมีอาการป่วยเจ็บได้รับทุกขเวทนาเกินกว่า20 วัน และประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน เหตุเกิดที่ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน จังหวัดพระนครขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 297, 80, 83 และสั่งริบเหล็กแหลมที่ใช้กระทำผิดของกลาง

นายทวีหรือพันธ์ และนายสวนหรือสนาม จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า นายทวีหรือพันธ์จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 และผิดตามมาตรา 297 ด้วย แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 288,80 ซึ่งเป็นบทหนัก การกระทำของนายทวีหรือพันธ์จำเลยเป็นการป้องกัน แต่เกินสมควรแก่เหตุ ลงโทษตามมาตรา 69 จำคุก 2 ปี ส่วนนายสวนหรือสนามจำเลยมิได้กระทำผิด ให้ยกฟ้อง ของกลางริบ

นายทวีหรือพันธ์จำเลยในคดีนี้ฝ่ายเดียวอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยแทงผู้เสียหายเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์ของกลางไม่ริบ

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาวินิจฉัย ข้อเท็จจริงคงฟังได้ความว่า นายเสงี่ยมผู้เสียหายกับจำเลยได้ถูกควบคุมตัวเพื่อฝึกอาชีพอยู่ที่ลาดยาว แต่อยู่คนละห้องและคนละชั้น ในวันเกิดเหตุผู้เสียหายเข้าไปอยู่ในห้องของจำเลย ได้ความจากนายประกอบ พันธ์พานิช พยานจำเลยว่าผู้เสียหายโหนแป๊บน้ำลงไป ที่ผู้เสียหายว่าเข้าไปนั่งคุยกับจำเลยนั้น ก็คงมีแต่คำของผู้เสียหายคนเดียว จำเลยเบิกความเป็นพยานว่า เมื่อผู้เสียหายเข้าไปในห้องจำเลยแล้ว ผู้เสียหายได้พูดให้จำเลยเอาเงินมาให้เพื่อผู้เสียหายจะเอาไปสูบเฮโรอีน จำเลยว่าไม่มี ผู้เสียหายก็เข้าล้วงในกระเป๋าจำเลย เมื่อพบเงินแล้วผู้เสียหายว่าจำเลยโกหก และผู้เสียหายเตะจำเลยหงายไปอยู่ข้างส้วม เมื่อจำเลยลุกขึ้นผู้เสียหายเอาเหล็กแหลมแทงมาที่จำเลย และผู้เสียหายใช้เท้าถีบจำเลย จนล้มนอนหงายลงกลางห้อง ผู้เสียหายจะแทงจำเลย พอดีผู้เสียหายลื่นล้มลง จำเลยพยายามจะหนีแต่ออกจากห้องไม่ได้เพราะประตูปิด ผู้เสียหายถือเหล็กแหลมเข้าหาจำเลยจำเลยร้องว่าช่วยด้วย สิบตำรวจเอกมณฑาพยานโจทก์ว่า เมื่อได้ยินเสียงร้อง จึงไปดู สิบตำรวจเอกมณฑาว่าเห็นจำเลยนอนหงายอยู่ ผู้เสียหายใช้เหล็กแหลมยาวประมาณ 12 นิ้วฟุตแทงจำเลยหลายที ได้ความเช่นนี้ ศาลฎีกาเชื่อว่าผู้เสียหายเข้าไปในห้องจำเลยเพื่อจะเอาเงินจำเลย เมื่อจำเลยไม่เอาให้โดยดี ผู้เสียหายจึงทำร้ายจำเลยก่อนจริงดังที่จำเลยนำสืบ

การที่ผู้เสียหายใช้เหล็กแหลมยาวถึง 12 นิ้วฟุตแทงจำเลยในขณะจำเลยนอนหงายอยู่เช่นนี้ แสดงว่าผู้เสียหายมีเจตนาจะทำร้ายจำเลยให้ถึงตาย จำเลยว่าได้เอามุ้งออกปัดป้องผู้เสียหายไว้ ที่จำเลยว่าเหล็กแหลมหลุดมือผู้เสียหายติดกับมุ้งและจำเลยถือเหล็กแหลมไว้นั้นก็ได้ความจากจำเลยว่าผู้เสียหายได้เอาเหล็กแหลมออกมาอีก สิบตำรวจเอกมณฑาก็ว่าเห็นผู้เสียหายถือเหล็กด้ามงออยู่จริง และสิบตำรวจเอกมณฑาว่าเมื่อไขประตูห้องไปแล้ว สิบตำรวจเอกมณฑาแย่งเหล็กแหลมจากผู้เสียหายได้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าเมื่อจำเลยถือเหล็กแหลมที่หลุดจากมือผู้เสียหายอยู่นั้น ผู้เสียหายยังได้เอาเหล็กแหลมออกมาตรงเข้าหาจำเลยแล้ว จำเลยกับผู้เสียหายกอดปล้ำกัน การที่จำเลยแทงผู้เสียหายในขณะที่ผู้เสียหายมีอาวุธอยู่ในมือและกอดปล้ำกันอยู่เช่นนี้ แม้จำเลยจะแทงผู้เสียหายหลายแผล บางแผลลึกเข้าช่องท้อง ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยแทงผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุในขณะชุลมุนกัน จะเห็นได้ว่าจำเลยได้กระทำไปเพื่อให้พ้นภยันตรายจากผู้เสียหายที่ใกล้จะถึง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันตนพอสมควรแก่เหตุ จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยกฎีกาโจทก์

Share