คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 729/2478

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การขอให้เพิกถอนนิติกรรมตาม ม.237 นั้นเพียงแต่ลูกหนี้แลผู้ได้ลาภงอกรู้ว่าเป็นการทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบก็พอแล้ว ไม่จำต้องปรากฎว่าได้มีการ+จริตหรือสมยอมเสมอไป+พิจารณาแพ่ง+ขัดทรัพย์

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์นำยึดที่ดินรายพิพาท ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์อ้างว่า ที่รายนี้เป็นของผู้ร้อง ๆ ซื้อไว้จากจำเลย
ทางพิจารณาได้ความว่า ที่ดินรายพิพาทเดิมเป็นของจำเลย ๆ ใส่ชื่อ ช.ภรรยาในโฉนดแต่ผู้เดียว แล้ว ช.เอาไปจำนองไว้กับ ล. เมื่อศาลพิพากษาให้ จำเลยแพ้คดีโจทก์ ๆ จึงนำยึดที่ดินของจำเลยแปลงหนึ่งซึ่งติดกับที่รายพิพาทนี้ แลผู้ร้องก็ทราบแล้วว่าถ้าขายได้เงินไม่พอโจทก์ก็จะยึดที่รายพิพาทนี้ด้วย ปรากฏว่าต่อจากศาลได้พิพากษาแล้ว ๑๙ วัน ช.ภรรยาจำเลยก็ไปไล่ถอนการจำนอง จาก ล.แล้วก็โอนขายให้กับผู้ร้อง แลผู้ร้องกลับเอาไปจำนองไว้กับ ล.อีกในวันเดียวกันนั้นเอง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การซื้อขายเป็นการทำให้โจทก์เสียเปรียบ เพราะผู้ร้องรู้อยู่แล้วว่าโจทก์ไม่สามารถยึดที่รายนี้ได้ นิติกรรมอันนี้ต้องถูกเพิกถอนข้อที่ศาลอุทธรณ์ว่า โจทก์ต้องสืบว่าการโอนรายนี้เป็นการทุจจริตหรือสมยอมนั้นเห็นว่าตาม ม.๒๓๗ ไม่จำเป็นต้องมีการทุจจริตหรือสมยอมเสมอไปเพียงแต่ลูกหนี้แลผู้ได้ลาภงอกรู้ว่าเป็นการทำให้เจ้าเสียเปรียบก็พอแล้วพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ยกคำร้องขัดทรัพย์

Share