คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 948/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว โจทก์เป็นฝ่ายอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 2 รับผิดเพิ่มขึ้นจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาส่วนจำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์คดีแต่อย่างใด ในการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ตามที่โจทก์อุทธรณ์ขึ้นมาฝ่ายเดียวนั้น ศาลอุทธรณ์ก็ได้พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 2 รับผิดน้อยลงไปกว่าเดิมด้วยซ้ำดังนี้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาขอลดจำนวนเงินที่จะต้องรับผิดให้น้อยลงไปอีกได้ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ ทั้งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ กู้เงินโดยวิธีเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์ในวงเงินไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ เบิกไปจากโจทก์แล้ว จำเลยที่ ๒เป็นผู้ค้ำประกัน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินต้นและดอกเบี้ย๓๒,๓๔๔.๑๖ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี โดยวิธีคิดดอกเบี้ยทบต้นนับแต่วันฟ้อง
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้คดีหลายประการ ในที่สุดจำเลยที่ ๑ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ยอมใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมในวันเดียวกันนั้น ส่วนจำเลยที่ ๒ ขอต่อสู้คดีตามเดิม แต่ในวันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมดังกล่าว โจทก์และจำเลยที่ ๒ รับข้อเท็จจริงกันในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ ๒ ต่างไม่ขอสืบพยาน ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยที่ ๒ จะต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกัน ในวงเงินที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีไปจากโจทก์ในวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๐๗ จำนวนเงิน๒๐,๐๐๐ บาท รวมกับเงิน ๑๐,๖๖๓.๖๘ บาท ตามบันทึกท้ายสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีอีกด้วยหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ภายในวงเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี โดยวิธีคิดดอกเบี้ยทบต้นนับแต่วันทำสัญญาค้ำประกันเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ ๒ จะต้องรับผิดในเงินจำนวน ๑๐,๖๖๓.๖๘บาท ตามสำเนาบันทึกท้ายสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีร่วมกับจำเลยที่ ๑ อีกด้วย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้จำเลยที่ ๒ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ชำระหนี้แก่โจทก์ภายในวงเงิน ๒๐,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี โดยวิธีคิดดอกเบี้ยทบต้นนับแต่วันทำสัญญาค้ำประกันจนถึงวันครบกำหนด ๖ เดือนตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีถัดจากวันนั้นไปให้จำเลยที่ ๒ เสียดอกเบี้ยในอัตราเพียงร้อยละ ๑๕ ต่อปีจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า เมื่อครบกำหนด ๖ เดือนตามสำเนาเบิกเงินเกินบัญชีท้ายฟ้อง จำเลยที่ ๑ เป็นลูกหนี้โจทก์อยู่เพียง ๑๑,๘๗๑.๗๗ บาท ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นให้จำเลยที่ ๒ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ชำระเงินให้แก่โจทก์เป็นเงิน ๑๑,๘๗๑.๗๗ บาทด้วย ส่วนโจทก์ไม่ฎีกา
มีปัญหาว่า จำเลยที่ ๒ จะฎีกาลดจำนวนเงินที่จะต้องรับผิดนั้นลงอีกได้หรือไม่ ข้อเท็จจริงที่จะยกขึ้นอ้างอิงในฎีกานั้น คู่ความจะต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งในฎีกา และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เว้นแต่เป็นปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน คดีนี้เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์แล้วโจทก์เป็นฝ่ายอุทธรณ์ให้จำเลยที่ ๒ รับผิดเพิ่มขึ้นจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาส่วนจำเลยที่ ๒ มิได้อุทธรณ์คดีแต่อย่างใด ในการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ตามที่โจทก์อุทธรณ์ขึ้นมาฝ่ายเดียวนั้น ศาลอุทธรณ์ก็ได้พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ ๒ รับผิดน้อยลงไปกว่าเดิมด้วยซ้ำ ดังนี้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาขอลดจำนวนเงินที่จะต้องรับผิดให้น้อยลงไปอีกได้ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ ทั้งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษาให้ยกฎีกาจำเลยที่ ๒

Share