แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลทำหนังสือรับสภาพหนี้และประนีประนอมยอมความให้โจทก์เมื่อวันที่27 กุมภาพันธ์ 2506 โจทก์ฟ้องคดี พ.ศ. 2507 จึงไม่ขาดอายุความ
ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความไม่ได้บังคับว่าโจทก์ต้องแสดงใบรับเงินค่าจ้างทนายมาพร้อมฟ้อง
หนังสือสัญญารับสภาพหนี้และยอมความมีใจความว่าถ้าลูกหนี้ผิดนัดยอมให้เจ้าหนี้ฟ้อง ลูกหนี้ยอมใช้ค่าเสียหายที่เจ้าหนี้จ่ายเป็นค่าจ้างทนายความตามที่จ้างจริง โดยตกลงกำหนดเบี้ยปรับสำหรับค่าจ้างไว้เป็นเงิน 4,500 บาท หนี้สินรายนี้มีจำนวน 22,340 บาทนับว่าสูงเกินส่วน แม้โจทก์จ่ายเงินไปแล้วจริง 4,500 บาทก็เป็นเรื่องที่โจทก์ตกลงว่าจ้างแพงเกินควรที่จะให้จำเลยรับผิดศาลฎีกาเห็นควรลดเบี้ยปรับค่าจ้างทนายลงเหลือ 2,500 บาท
ฎีกาที่ว่า ข้อตกลงเรื่องให้จำเลยเสียค่าทนาย 4,500 บาทเป็นข้อตกลงที่ใช้บังคับกันไม่ได้ เพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่าในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์และไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเข้าหุ้นส่วนเป็นเจ้าของโรงงานผลิตกระเบื้องจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการได้ซื้อไม้ฟืนจากโจทก์ไปใช้ในกิจการหุ้นส่วนหลายคราวติดค้างค่าไม้ฟืนเรื่อยมา เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๐๖ จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้จัดการตกลงรับสภาพหนี้และประนีประนอมยอมความต่อโจทก์ว่าได้ติดค้างค่าไม้ฟืนอยู่ ๒๒,๓๔๐ บาท จะชำระเสร็จภายใน ๓ เดือน ตกลงยอมใช้ค่าเสียหายเป็นเงินค่าใช้จ่ายจ้างทนายแก่โจทก์ตามที่จ้างจริง โดยกำหนดเป็นเบี้ยปรับเฉพาะค่าทนายเป็นเงิน ๔,๕๐๐ บาท จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์เสียเงินค่าจ้างทนายฟ้องคดีนี้ ๔,๕๐๐ บาท ขอให้จำเลยร่วมกันใช้เงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง๓๑,๗๕๙ บาท ฯลฯ
จำเลยที่ ๑ ให้การรับว่าเป็นความจริงตามฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่าไม่ได้เป็นหุ้นส่วนกับจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ เป็นเพียงลูกจ้าง