แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ซ. บุตรผู้ร้องได้อยู่กับผู้ร้องที่ตลาดชุมแสงตั้งแต่เล็ก ๆ และได้เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนจีนในอำเภอชุมแสง ต่อมา ซ. มาเรียนต่อที่จังหวัดพระนครจนสำเร็จแล้วสมัครเป็นครูโรงเรียนจีนสอนอยู่ประมาณปีเศษ ก็ถูกศาลลงโทษฐานเป็นอั้งยี่และถูกเนรเทศไปประเทศจีนก่อนถูกเนรเทศ ซ. มีภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ตามทะเบียนบ้านและใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ดังนี้ แม้ ซ.จะไปประกอบอาชีพชั่วคราว ณ จังหวัดพระนครก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่า ซ. มีเจตนาจะเปลี่ยนภูมิลำเนา
ย่อยาว
คดีนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าเมื่อ พ.ศ. 2471 ผู้ร้องกับนายเฮงกุ่ย แซ่ตั้งสามีมีบุตรด้วยกันหนึ่งคนชื่อนายเซียงฮ้อ แซ่ตั้ง ครั้นเมื่อ พ.ศ. 2491 นายเซียงฮ้อต้องโทษฐานเป็นอั้งยี่ กระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งให้กรมตำรวจเนรเทศนายเซียงฮ้อออกนอกราชอาณาจักรไทย จนกระทั่งบัดนี้เป็นเวลา 21 ปีมาแล้ว ขณะนี้ไม่มีผู้ใดทราบว่านายเซียงฮ้อจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ประการใด นายเฮงกุ่ยบิดานายเซียงฮ้อได้ตายลงเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2510 ผู้ร้องเป็นมารดานายเซียงฮ้อและเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินของนายเซียงฮ้อ จึงขอให้มีคำสั่งว่านายเซียงฮ้อเป็นบุคคลสาปสูญตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 64
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการทรัพย์มรดกของนายเฮงกุ่ยซึ่งตกได้แก่นายเซียงฮ้อตามพินัยกรรม ก่อนถูกเนรเทศนายเซียงฮ้อมีภูมิลำเนาอยู่นอกเขตศาลจังหวัดนครสวรรค์ เมื่อถูกเนรเทศแล้วก็อยู่ในประเทศจีนตลอดมา ศาลจังหวัดนครสวรรค์ไม่มีอำนาจพิจารณาคดีนี้ นายเซียงฮ้อไม่ใช่ผู้ร้องและยังมีชีวิตอยู่ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า นายเซียงฮ้อมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดนครสวรรค์ได้ ผู้ร้องเป็นมารดานายเซียงฮ้อ และนายเซียงฮ้อถูกเนรเทศจากประเทศไทยโดยไม่ได้ข่าวคราวเป็นเวลา 11-12 ปีแล้ว จึงมีคำสั่งว่านายเซียงฮ้อเป็นคนสาบสูญ
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า นายเซียงฮ้ออยู่กับผู้ร้องที่ตลาดชุมแสงมาตั้งแต่เล็ก ๆได้เข้าโรงเรียนที่อำเภอชุมแสงจนมาเรียนต่อที่จังหวัดพระนครแล้วสมัครเป็นครูโรงเรียนจีนในจังหวัดพระนครชั่วเวลา 1-2 ปี จึงถูกศาลพิพากษาลงโทษฐานเป็นอั้งยี่และถูกเนรเทศไป ก่อนถูกเนรเทศนายเซียงฮ้อยังมีภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ ตามทะเบียนบ้านและใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว การที่นายเซียงฮ้อไปประกอบอาชีพชั่วคราว ณ จังหวัดพระนครยังถือไม่ได้ว่ามีเจตนาจะเปลี่ยนภูมิลำเนา จึงฟังได้ว่าก่อนถูกเนรเทศ นายเซียงฮ้อยังมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลจังหวัดนครสวรรค์ ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลดังกล่าวได้ ฟังว่า ผู้ร้องเป็นมารดานายเซียงฮ้อ และนายเซียงฮ้อได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ โดยไม่ทราบข่าวคราวเป็นเวลา11-12 ปี ชอบที่ผู้ร้องจะร้องขอต่อศาลให้ นายเซียงฮ้อเป็นบุคคลสาปสูญได้
พิพากษายืน