แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำบันทึกข้อตกลงกับโจทก์ยอมชำระหนี้แทนมารดาจำเลยโดยในวันทำบันทึกจำเลยได้มอบทั้งเงินสดและ เช็คชำระหนี้ให้โจทก์ ดังนี้บันทึกดังกล่าวเป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้จากมารดาจำเลยเป็นจำเลย การฟ้องคดีตามบันทึกข้อตกลงแปลงหนี้ใหม่ดังกล่าวมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ตกลงที่จะชำระหนี้ให้โจทก์แทนมารดาจำเลยพร้อมทั้งแนบภาพถ่ายบันทึกข้อตกลงดังกล่าวมาท้ายฟ้องด้วย โดยจำเลยได้ออกเช็ครวม 5 ฉบับชำระหนี้ให้โจทก์ ดังนี้ถือว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยในฐานะโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คแต่เป็นการบรรยายถึงมูลหนี้เดิมว่ามีความเป็นมา อย่างไรอันเป็นการฟ้องโดยอาศัยมูลหนี้ตามบันทึกข้อตกลงแปลงหนี้ใหม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตกลงที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์แทนมารดาจำเลยเป็นเงิน ๘๖๐,๐๐๐ บาท ตามภาพถ่ายบันทึกข้อตกลงเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามเอกสารท้ายฟ้อง จำเลยได้ออกเช็คตามจำนวนเงินดังกล่าวมอบให้โจทก์เป็นการชำระหนี้ แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ ๒ ครั้ง มีระยะเวลาห่างกันเกินกว่า ๑ เดือน จำเลยไม่ชำระหนี้ จำเลยจึงอยู่ในฐานะมีหนี้สินล้นพ้นตัวขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลาย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ มูลหนี้ตามเช็คพิพาทระงับไปแล้ว ระยะเวลานับแต่วันที่เช็คพิพาทถึงกำหนดใช้เงินจนถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า ๑ ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามฟ้อง จำเลยไม่ใช่บุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๑๔ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลย สำหรับค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความรวมหนึ่งพันบาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ฟ้องโดยอาศัยมูลหนี้ตามบันทึกเอกสารหมาย จ.๒ ซึ่งเป็นข้อตกลงเปลี่ยนตัวลูกหนี้ไม่ใช่ฟ้องในฐานะโจทก์เป็นผู้ทรงเช็ค คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๐๒ นั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายว่า “เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๒๘ จำเลยได้ตกลงที่จะชำระหนี้ให้โจทก์แทนนางเกียว ตั้งบัณฑิต ซึ่งเป็นมารดาเป็นเงินจำนวน ๘๖๐,๐๐๐ บาท ฯลฯ” พร้อมทั้งแนบภาพถ่ายบันทึกข้อตกลงดังกล่าวตามเอกสารหมาย จ.๒ มาท้ายฟ้องด้วยจึงถือว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยในฐานะโจทก์เป็นผู้ทรงเช็ค แต่เป็นการบรรยายถึงมูลหนี้เดิมว่ามีความเป็นมาอย่างใด และจำเลยได้ตกลงชำระหนี้ให้โจทก์แทนมารดาจำเลยโดยในวันทำบันทึกจำเลยได้มอบทั้งเงินสดและเช็คชำระหนี้ให้โจทก์ อันเป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้จากมารดาจำเลยเป็นจำเลย การฟ้องคดีตามบันทึกข้อตกลงแปลงหนี้ใหม่ดังกล่าวมีอายุความ ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามที่โจทก์ฎีกา เมื่อคดีรับฟังได้ว่าโจทก์ได้ทวงถามจำเลยหลายครั้ง จำเลยบอกว่าจำเลยไม่อยู่ในฐานะที่จะชำระหนี้ได้ เพราะมีหนี้สินหลายรายจำนวนหลายสิบล้านบาท ทั้งโจทก์ได้มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ ๒ ครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วตามเอกสารหมาย จ.๑๑,จ.๑๒,จ.๑๓,จ.๑๔ และไม่ชำระโจทก์ ดังนี้ก็ต้องสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๘ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลย ส่วนค่าทนายความนั้นให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร