แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ คดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่นายดวกจำเลยนั้นนายดวกต่อสู้กรรมสิทธิ์ ทุนทรัพย์ไม่เกิน5,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง สำนวนที่โจทก์ฟ้องขับไล่นายหนูจำเลย นายหนูไม่ได้ต่อสู้กรรมสิทธิ์ เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ถึงแม้นายหนูจะฎีกาได้ก็ตาม แต่ปรากฏว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่โจทก์ฟ้องขับไล่นายดวก เมื่อนายหนูต่อสู้ว่าอาศัยสิทธินายดวก จึงเป็นบริวารนายดวก ผลแห่งคำพิพากษาซึ่งบังคับแก่นายดวก ย่อมบังคับถึงนายหนูจำเลยด้วย นายหนูจะรื้อฟื้นข้อเท็จจริงซึ่งยุติแล้วให้วินิจฉัยเป็นอย่างอื่นไม่ได้
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โจทก์ฟ้องทำนองเดียวกันว่าโจทก์ได้ให้จำเลยอาศัยปลูกเรือนอยู่ในที่ดินของโจทก์ โจทก์ได้บอกเลิกการให้อาศัยแล้วจำเลยไม่ยอมไป ขอให้ขับไล่
นายดวกต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของนายดวก
นายหนูต่อสู้ว่าอาศัยปลูกบ้านเรือนอยู่ในที่ดินของนายดวก
ศาลชั้นต้นฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ พิพากษาขับไล่จำเลยทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีที่โจทก์ฟ้องนายดวกจำเลย เป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 5,000 บาท ตามมาตรา 248 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนคดีที่โจทก์ฟ้องนายหนูจำเลย แม้จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ แต่ปรากฏว่า ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินในคดีที่โจทก์ฟ้องนายดวกจำเลย เมื่อนายหนูจำเลยต่อสู้ว่าอาศัยสิทธิของนายดวกจำเลย จึงตกเป็นบริวารของนายดวก ผลแห่งคำพิพากษาซึ่งบังคับแก่นายดวก ย่อมบังคับถึงจำเลยตามมาตรา 142 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งด้วยนายหนูจำเลยจะรื้อฟื้นข้อเท็จจริงซึ่งยุติแล้ว ให้วินิจฉัยเป็นอย่างอื่นไม่ได้ให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสอง