คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5278/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยพิมพ์โฆษณาข้อความอันฝ่าฝืนความจริงทางหนังสือพิมพ์ ซึ่งเมื่ออ่นข้อความทั้งหมดประกอบกันแล้วทำให้เข้าใจได้ว่า โจทก์เป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์และเคยเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย กำลังวางแผนจัดตั้งพรรคการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมายโดยยอมรับหลักลัทธิคอมมิวนิสต์ การไขข่าวเช่นนี้ในขณะที่ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและมีพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ใช้บังคับอยู่ ย่อมทำให้โจทก์ซึ่งเป็นคนไทยคนหนึ่งเป็นที่รังเกียจ ถูกดูหมิ่นเกลียดชังจากประชาชนทั่วไป ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยจึงต้องร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโจทก์
ข้อความดังกล่าวเป็นการหมิ่นประมาทชื่อเสียงเกียรติคุณของโจทก์และอาจกระทบถึงความเจริญหรือทางทำมาหาได้ของโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทน แต่จำเลยได้ลงแก้ข่าวให้โจทก์ทางหนังสือพิมพ์หลายฉบับติดต่อกันหลายวันอันเป็นการบรรเทาความเสียหายไป ส่วนหนึ่งแล้ว ศาลฎีกาจึงกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ 50,000 บาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ให้ข่าวลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ของจำเลยที่ ๒ ซึ่งจำเลยที่ ๓ เป็นบรรณาธิการว่าโจทก์เป็นผู้ก่อการร้ายและสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ อันเป็นความเท็จทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย ๒ ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ให้การว่า เสนอข่าวไปโดยสุจริตตามที่จำเลยที่ ๑ ให้สัมภาษณ์ ไม่ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน ๖๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ยกฟ้องจำเลยที่ ๑
โจทก์และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ด้วย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ลงพิมพ์โฆษณาทางหนังสือพิมพ์ซึ่งเมื่ออ่านข้อความทั้งหมดประกอบกันแล้วทำให้เข้าใจว่า โจทก์เป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์และเคยเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย กำลังวางแผนจัดตั้งพรรคการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมายโดยยอมรับหลักลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นข้อความอันฝ่าฝืนความจริง ในขณะที่ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและมีพระราชบัญญัติป้องกัน การกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ใช้บังคับอยู่ การไขข่าวดังกล่าวย่อมทำให้โจทก์ซึ่งเป็นคนไทยคนหนึ่งเป็นที่รังเกียจ ถูกดูหมิ่นเกลียดชังจากประชาชนทั่วไป ทำให้โจทก์เสียหาย (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๓๗,๒๓๘/๒๕๑๔) ซึ่งจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ควรจะรู้ได้ว่าเป็นความเท็จ เพราะข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าวของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จึงต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ และเห็นสมควรวินิจฉัยในเรื่องค่าสินไหมทดแทนไปเลย โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ ซึ่งโจทก์ฎีกาขอค่าเสียหายจำนวน ๖๐๐,๐๐๐ บาท ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เห็นว่าข้อความที่หมิ่นประมาทว่าโจทก์เป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์หรือเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เป็นการหมิ่นประมาทชื่อเสียงเกียรติคุณของโจทก์และอาจกระทบถึงทางเจริญหรือทางทำมาหาได้ของโจทก์ได้ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ได้ลงข่าวแก้ให้โจทก์ตามข้อความที่โจทก์กำหนดขึ้นในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และหนังสือพิมพ์บางกอกเวิลด์ติดต่อกันเป็นเวลาถึง ๓ วัน มีข้อความทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ชื่อเสียงเกียรติคุณของโจทก์จึงกลับคืนมาบ้างเป็นการบรรเทาความเสียหายไปส่วนหนึ่งแล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์จำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท (เทียบตามแนวคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๗/๒๕๒๒)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์

Share