แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 อาศัยรถยนต์ที่จำเลยที่ 3 ขับไปกระทำกิจธุระอื่นโดยมิได้มีเจตนาจะกระทำผิดฐานชิงทรัพย์มาก่อน เหตุชิงทรัพย์เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนโดยจำเลยที่ 1 ลงไปกระทำการขณะที่รถยนต์จอดเพราะการจราจรติดขัด ประกอบกับจำเลยที่ 3 ก็มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยแต่อย่างใด การชิงทรัพย์ของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการกระทำโดยใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันปล้นทรัพย์โดยลักเอาทรัพย์รวมเป็นเงิน ๙๓๐ บาท ของนายจำเรียง ผู้เสียหายไปโดยทุจริต การลักทรัพย์ดังกล่าวจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายและใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อพาทรัพย์นั้นไปและเพื่อให้พ้นจากการถูกจับกุม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐, ๓๔๐ ตรี,๘๓
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๑ ปรับคนละ ๑,๐๐๐ บาท ส่วนจำเลยที่ ๓ ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙ วรรคหนึ่ง ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา ๗๖ จำคุก ๒ ปี ๖ เดือน และปรับ ๖,๐๐๐ บาท ลดโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา ๗๘ คงจำคุก ๑ ปี ๘ เดือน และปรับ ๔,๐๐๐ บาท ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ ๒ ปีตามมาตรา ๕๖ ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่๒ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาโดยอธิบดีกรมอัยการรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ขณะนายจำเรียง ผู้เสียหายยืนรอเพื่อนหญิงอยู่บนทางเท้า ได้มีรถยนต์ตู้สีขาวที่จำเลยที่ ๓ ขับขี่มาจอดห่างจากผู้เสียหายประมาณ ๒ เมตร และมีจำเลยที่ ๑ที่ ๒ ลงจากรถตรงเข้าไปหาผู้เสียหายโดยจำเลยที่ ๑ ใช้มือทั้งสองจับอกเสื้อผู้เสียหายพูดว่า ‘ขอเถอะ’ พร้อมกับปลดเอาเข็มรูปกางเขน เข็มวงกลมสัญลักษณ์ของโรงเรียน เพลทสำหรับเขียนแบบกับกำไลอะลูมิเนียมผสมทองเหลืองจากผู้เสียหายไป ส่วนจำเลยที่๒ ได้ยืนอยู่ใกล้ๆ จากนั้นจำเลยทั้งสองพากันวิ่งขึ้นรถคันเดิมที่ขับแล่นเรื่อยๆ ไปข้างหน้า และวินิจฉัยว่า คดีฟังได้เพียงว่าจำเลยที่ ๑ กระทำผิดฐานชิงทรัพย์แต่เพียงผู้เดียวโดยจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ส่วนปัญหาว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ จะเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์โดยใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ ตรี หรือไม่นั้น เห็นว่าเมื่อคดีไม่ได้ความว่าจำเลยที่ ๑ มีเจตนาจะใช้รถยนต์ไปกระทำผิดแต่อย่างใด คงได้ความแต่เพียงว่าจำเลยที่๑ อาศัยรถยนต์ไปกระทำกิจธุระอื่นเท่านั้น เหตุชิงทรัพย์คดีนี้ก็เกิดขึ้นโดยปัจจุบันทันด่วนโดยจำเลยที่ ๑ ลงจากรถยนต์ไปกระทำการชิงทรัพย์ขณะที่รถยนต์จอดเพราะการจราจรติดขัด ซึ่งจำเลยที่ ๑ หาได้มีเจตนาที่จะกระทำการดังกล่าวมาก่อนแต่อย่างใดไม่ ประกอบกับจำเลยที่ ๓ บุตรของเจ้าของรถยนต์ซึ่งเป็นผู้ขับรถยนต์นั้นก็มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยกับการกระทำผิดของจำเลยที่ ๑ คดีจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ กระทำการชิงทรัพย์โดยใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะ
พิพากษายืน.