แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เอกสารที่จำเลยทำให้โจทก์มีข้อความว่าจำเลยจะนำเงินจำนวน 50,000 บาทมาใช้ให้แก่โจทก์ภายในเดือนพฤษภาคม 2526 แสดงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามจำนวนที่ระบุไว้ ใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยยืมเงินไปจากโจทก์หลายครั้ง รวมเป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท ต่อมาจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ตามเอกสารท้ายฟ้องให้ไว้แก่โจทก์แต่จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ขอบังคับให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัด
จำเลยให้การว่าไม่เคยยืมเงินจากโจทก์ เอกสารท้ายฟ้องดังกล่าวไม่ใช่หนังสือรับสภาพหนี้ โจทก์เคยเป็นภรรยาที่ ๓ ของจำเลยต่อมาแยกทางกันโจทก์ขอเงินจากจำเลย ๕๐,๐๐๐ บาท มิฉะนั้นจะร้องเรียนผู้บังคับบัญชา จำเลยจึงทำหนังสือตามเอกสารท้ายฟ้องให้โจทก์ หนังสือดังกล่าวเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๕๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๖ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยยืมเงินจากโจทก์ตามฟ้องและวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมหนังสือ เอกสารหมาย จ.๑ ไม่ใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมจะนำมาฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้นั้น ปรากฏข้อความในเอกสารหมาย จ.๑ ว่า จำเลยจะนำเงินจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาทมาใช้ให้แก่โจทก์ภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๒๖ เห็นว่าเอกสารที่จำเลยทำให้ไว้กับโจทก์ดังกล่าวมีข้อความว่าจำเลยจะใช้เงินให้กับโจทก์ย่อมแสดงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามจำนวนเงินที่ระบุไว้ จึงใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้
พิพากษายืน