แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่สั่งให้จำเลยรื้อถอน สิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นโดยผิดกฎหมายให้กลับสู่สภาพเดิม มีบทลงโทษ ปรับเป็นรายวัน เมื่อคำฟ้องโจทก์ไม่มีข้อความว่าจำเลยทราบคำสั่งวันใด และฝ่าฝืนคำสั่งวันใดแม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ ศาลก็ไม่มีทางลงโทษ ปรับจำเลยเป็นรายวันตลอดเวลาที่ฝ่าฝืนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ คำฟ้องฐานนี้ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5)
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2738/2526)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๘ ถึงวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๒๘ ทั้งเวลากลางวันและเวลากลางคืนต่อเนื่องกันตลอดมา จำเลยดำเนินการก่อสร้างอาคารเพื่อการพาณิชยกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารเพื่อพาณิชยกรรมดังกล่าวจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายเมื่อจำเลยได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารเพื่อพาณิชยกรรมขึ้นโดยมิได้รับอนุญาต อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายดังกล่าวแล้วได้อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มีคำสั่งเมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ ให้จำเลยรื้อถอนอาคารดังกล่าวออกให้อยู่ในสภาพเดิมภายในกำหนดเวลา ๓๕ วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือคำสั่งนี้ จำเลยได้รับทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นดังกล่าวแล้ว ครั้นเมื่อระหว่างวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ ถึงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๒๘ ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยได้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่สั่งให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่สร้างขึ้นโดยผิดกฎหมายดังกล่าวให้กลับสู่สภาพเดิมภายในกำหนด ๓๕ วัน ตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และยังคงฝ่าฝืนคำสั่งอีกตลอดมาจนถึงวันฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๑, ๔๐, ๔๒, ๖๕, ๗๐ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑, ๓๖๘ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๔ และสั่งปรับจำเลยเป็นรายวันตามกฎหมายนับตั้งแต่วันที่จำเลยฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานจนถึงวันที่จำเลยได้ปฏิบัติการรื้อถอนตามคำสั่งของเจ้าพนักงานให้ถูกต้องตามกฎหมาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๖๕, ๗๐ ส่วนความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานซึ่งมีบทลงโทษปรับเป็นรายวันนั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่า เจ้าพนักงานมีคำสั่งเมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ ให้จำเลยรื้อถอนอาคารภายใน ๓๕ วัน จำเลยทราบคำสั่งแล้วแต่มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยทราบคำสั่งในวันใด คงบรรยายฟ้องว่าระหว่างวันที่๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ ถึงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๒๘ ต่อเนื่องกัน จำเลยฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงาน ซึ่งมิได้แสดงให้เห็นว่า ฝ่าฝืนคำสั่งวันใดกันแน่แม้จำเลยจะรับสารภาพ ศาลก็ไม่สามารถคำนวณลงโทษปรับจำเลยเป็นรายวันตลอดเวลาที่ฝ่าฝืนได้ และเห็นว่าคำฟ้องในข้อกล่าวหานี้ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) พิพากษายกฟ้องในความผิดดังกล่าว
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานและปรับเป็นรายวันตามกฎหมายด้วย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานมีบทลงโทษปรับเป็นรายวัน เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้อีกกระทงหนึ่งตามฟ้องนั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องในความผิดฐานนี้ว่าเมื่อจำเลยได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารเพื่อการพาณิชยกรรมขึ้นโดยมิได้รับอนุญาตอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายดังในฟ้องข้อ ๑ (ก) แล้ว หัวหน้าเขตพระนครปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นและได้ทราบถึงการกระทำผิดของจำเลยดังกล่าว ได้อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มีคำสั่งเมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ ให้จำเลยรื้อถอนอาคารดังกล่าวออกให้อยู่ในสภาพเดิมภายในกำหนดเวลา ๓๕ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือคำสั่งนี้ จำเลยได้รับทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นดังกล่าวแล้ว ครั้นเมื่อระหว่างวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ ถึงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๒๘ ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกันจำเลยได้บังอาจฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่สั่งให้จำเลยรื้อถอนสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นโดยผิดต่อกฎหมายดังกล่าวให้กลับสู่สภาพเดิมภายในกำหนด ๓๕ วันตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและยังคงฝ่าฝืนคำสั่งอีกตลอดมาจนถึงวันฟ้อง ดังนี้คำฟ้องของโจทก์ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าจำเลยทราบคำสั่งวันใด และฝ่าฝืนคำสั่งวันใด เพราะข้อความที่ว่าระหว่างวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ ถึงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๒๘ ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยได้บังอาจฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นซึ่งให้จำเลยรื้อถอนสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นโดยผิดต่อกฎหมายดังกล่าวให้กลับสู่สภาพเดิมภายในกำหนด ๓๕ วันนั้น ก็ไม่อาจทราบได้ว่าภายในกำหนด ๓๕ วันนั้น นับแต่วันที่เท่าใดที่แน่นอน แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพศาลก็ไม่มีทางลงโทษปรับจำเลยเป็นรายวันตลอดเวลาที่ฝ่าฝืนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ได้ จะแปลเอาว่า จำเลยทราบคำสั่งตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ และจำเลยได้ฝ่าฝืนคำสั่งตั้งแต่วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๒๘ เป็นต้นไปดังฎีกาโจทก์หาได้ไม่ เมื่อไม่มีวันที่จำเลยทราบคำสั่งจึงไม่อาจคำนวณโทษปรับนับแต่วันที่จำเลยฝ่าฝืนคำสั่งได้ คำฟ้องของโจทก์ในความผิดฐานนี้จึงไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๗๓๘/๒๕๒๖ ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดชลบุรี โจทก์ นายเฉลี่ย ทรงประเสริฐจำเลย ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องในความผิดฐานนี้ชอบแล้ว แต่ที่ศาลล่างทั้งสองกล่าวว่าเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕)นั้น ยังไม่ถูกต้อง ที่ถูกเป็นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕)แต่ศาลฎีกาก็เห็นด้วยในผลแห่งคดี
พิพากษายืน