แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายในขณะที่จำเลยเมาสุราโดยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน มีดที่ใช้แทงไม่มีด้ามและมีสนิมติดอยู่ด้วยจำเลยแทงผู้เสียหายครั้งแรกที่ใต้ราวนมซ้าย 1 ครั้ง บาดแผลขนาด 1.2 * 0.3 เซนติเมตรลึก 0.5 เซนติเมตรติดกระดูกซี่โครง ไม่ได้ความว่าแทงโดยแรงหรือไม่ผู้เสียหายล้มลงแล้วจำเลยยังแทงผู้เสียหายที่โคนขาอีก 2 ครั้งแผลลึก 3 และ 2.5 เซนติเมตรตามลำดับ สภาพบาดแผลมีขนาดใกล้เคียงกับบาดแผลที่ใต้ราวนมซ้ายแพทย์มีความเห็นว่าใช้เวลารักษาประมาณ 10 วันหาย พิจารณาถึงมีดซึ่งไม่เหมาะที่จะใช้แทงให้ตายและการที่จำเลยมีโอกาสเลือกแทงในส่วนสำคัญได้หลังจากผู้เสียหายล้มลงแล้วแต่กลับแทงไปที่บริเวณโคนขาซึ่งไม่เกิดอันตรายร้ายแรง ทำให้ฟังไม่ถนัดว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 เท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่าขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐ และริบมีดของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ จำคุก ๖ เดือน ของกลางริบ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘, ๘๐ จำคุก ๑๐ ปี คำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมมีประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ จำคุก ๖ ปี ๘ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเพียงว่า จำเลยใช้มีดปลายแหลมของกลางยาวประมาณ ๑ ศอก ใบมีดกว้าง ๑ นิ้ว ไม่มีด้ามแทงผู้เสียหายถูกที่ใต้ราวนมซ้าย ๑ ครั้ง บาดแผลขนาด ๑.๒ + ๐.๓ เซนติเมตร ลึก ๐.๕ เซนติเมตรกับแทงถูกที่บริเวณโคนขาขวาอีก ๒ ครั้ง และทั้ง ๒ ครั้งนี้แผลลึกอีก ๓ และ ๒.๕ เซนติเมตร ตามลำดับ ส่วนสภาพของบาดแผลมีขนาดใกล้เคียงกับบาดแผลที่ใต้ราวนมซ้าย ซึ่งปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องให้ความเห็นไว้ว่าใช้เวลารักษาประมาณ ๑๐ วันหาย ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนนั้น ถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าหรือไม่ เห็นว่า สภาพลักษณะของบาดแผลที่บริเวณโคนขาทั้ง ๒ แผล มิใช่เป็นบาดแผลสาหัสและข้อที่สำคัญแพทย์ผู้ตรวจบาดแผลไม่ได้ให้ความเห็นว่า บริเวณโคนขาขวา ถือว่าเป็นส่วนสำคัญของร่างกายและอาจทำให้ตายได้แต่อย่างใด สำหรับบาดแผลที่ใต้ราวนมซ้ายนั้นแม้เป็นตำแหน่งส่วนสำคัญของร่างกายและผู้เสียหายว่าจำเลยแทงโดยแรงแต่ได้ความจากแพทย์ผู้ตรวจบาดแผลว่า ไม่อาจบอกได้ว่า แทงโดยแรงหรือไม่เพราะแผลลึกติดกระดูกซี่โครง อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยแทงไปถูกที่ใต้ราวนมเป็นแผลแรก เมื่อผู้เสียหายล้มลง จึงได้แทงไปถูกที่โคนขาตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องปรากฏว่าบาดแผลที่โคนขาทั้ง ๒ แผล ลึกมากกว่าบาดแผลที่ใต้ราวนมและบาดแผลทั้ง ๓ แผลเป็นเพียงอันตรายแก่กายเท่านั้น จากข้อเท็จจริงดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าจำเลยใช้มีดแทงเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บเป็นแผลลึกมากที่สุดคือบาดแผลที่โคนขา ประกอบกับได้ความจากพยานโจทก์ว่า จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายในขณะที่จำเลยเมาสุรา โดยไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน มีดที่ใช้แทงผู้เสียหายไม่มีด้าม และได้ความจากนายปรุงพยานโจทก์ซึ่งเป็นพี่ผู้เสียหายว่า เป็นมีดเก่ามีสนิมติดอยู่ด้วย ซึ่งเห็นได้ว่าไม่เหมาะที่จะใช้แทงผู้อื่นให้ถึงตาย รวมทั้งเมื่อพิเคราะห์ถึงว่าหลังจากจำเลยแทง ไปถูกผู้เสียหายในครั้งแรกแล้วผู้เสียหายล้มลงและในทันทีทันใดนั้น จำเลยก็มีอาวุธติดตัวแต่ฝ่ายเดียว ย่อมมีโอกาสที่จะเลือกหรือกำหนดได้ว่าจะแทงไปถูกตรงไหนในส่วนสำคัญของร่างกายผู้เสียหายได้สะดวกจำเลยกลับแทงไปตรงที่บริเวณโคนขาในส่วนที่ไม่เกิดอันตรายร้ายแรงเช่นนี้จึงฟังไม่ถนัดว่า จำเลยแทงผู้เสียหายโดยมีเจตนาจะฆ่าให้ตาย จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ เท่านั้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น